About Me

รูปภาพของฉัน
Bangkok, Thailand
นักเดินทางอิสระ

8/31/2552

Day 5: โรม อีกครั้ง

อย่างที่ได้บอกไว้ในช่วงแรกๆว่า ทริปนี้ฉันต้องการทดลองเดินทางหลายรูปแบบ จึงเลือกเดินทางด้วยตัวเอง บริษัททัวร์ทางอินเตอร์เน็ต และบริษัททัวร์แบบฝรั่ง ซึ่งวันนี้เราก็จะ join กับ Globus Tour ที่เป็นบริษัท escorted tour แบบ 4 ดาว ที่ผสมระหว่างการเดินทางด้วยตัวเอง และบางช่วงที่มีไกด์ให้ เราเลือก Globus Tour จากการแนะนำของดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หลังจากอ่านหนังสือของท่าน และภายหลังได้ดู website http://www.globus.com/ ก็พบว่าเป็น escorted tour ที่น่าสนใจ พาเราไปดูสถานที่ต่างๆ ได้ครบ พร้อมให้เวลาพักอย่างน้อย 1 คืนแต่ละเมือง โรงแรมก็เป็นระดับ 4 ดาวทั้งนั้น

วันแรก เราจะต้องพบกับ Tour Director ตอนเย็นๆ จึงว่างช่วงเช้า เราใช้เวลาเดินเล่นที่สวน Borghese ที่เป็นปอดที่ใหญ่ที่สุดของโรม ครอบคลุมพื้นที่ 1700 ไร่ มีประติมากรรม สระน้ำ และพิพิธภัณฑ์ระดับโลก Borghese อยู่ด้วย หากต้องการชม คุณต้องจองบัตรก่อน เพราะไม่รับจำหน่ายบัตรหน้างาน พวกเราไม่รู้เลยไม่ได้มีโอกาสเข้าไปดู แวะถ่ายรูปอย่างเดียว และใช้เวลาเดินเล่นประมาณ 1 ชั่วโมง เราอาจไม่ค่อยชอบพวกต้นไม้ต้นหญ้าเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยตื่นเต้น สวนแบบฝรั่งดูเป็นธรรมชาติมาก ไม่เรียบร้อยอย่างสวนลุมพินีของเราหรอก

แวะถ่ายรูปด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ Borghese

เดินเล่นในสวน Borghese ปอดที่ใหญ่ที่สุดของโรม

วิวของโรม ถ่ายจากสวน ก่อนจะเดินลงไปที่ด้านล่าง


เดินไปเดินมา ก็มาทะลุที่ Spanish Steps คนเยอะมากๆ มีทั้งนักท่องเที่ยว และคนอิตาลีมาถ่ายรูป และนั่งๆ นอนๆ อยู่บนบันได สำหรับเราร้อนจะตายอยู่แล้ว รีบเดินหาแต่ที่ร่มๆ และแวะชิม Gelato ที่ปลายบันไดเหมือนเดิม


คนเยอะมากจริงๆ วันนี้เป็นวันหยุดเลยยิ่งมีคนมาถ่ายรูปเยอะ

หุ่นนางแบบของ Nike สมจริงมาก กล้ามเป็นมัดๆเลย

ตามถนนจะมีคนแสดงเป็นตัวต่างๆ คุณสามีชอบจริงๆเล้ย

เดินไปเดินมาเจอกับอนุสาวรีย์วิกเตอร์ เอมมานูแอลที่ 2

II Vittoriano ที่ชาวโรมเรียกกันว่าเป็น Wedding Cake ซึ่งก็เหมือนจริงๆนะ

ด้านข้างๆ Weddgin Cake จะเป็น Balcony ที่มุสโสลินีใช้

ประกาศสงครามโลกค่ะ หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เชียวนะ

ร้านอาหารตามทางเดิน ถนนนี้คล้ายกับราชดำเนินมาก

น่าจะสามารถทำร้านข้างทางอย่างนี้ได้นะ


กลับมาที่โรงแรม และพักผ่อนชิลๆ สักพัก ก่อนไปเจอกับ Tour Director ของ Globus Tour สำหรับทัวร์ของฝรั่งนั้น เราต้องดูแลตัวเองพอสมควร เค้าจะติดตารางบอกเวลาตื่นนอน วางกระเป๋า และโปรแกรมอื่นๆ ไว้บนบอรด์ของโรงแรม ยืนดูกันได้ตลอด ตอนแรกๆอาจไม่ชิน แต่สักพักก็ชอบเพราะง่ายสบายดี ถึงเวลาหกโมงเย็น ก็มารวมตัวกันที่ห้องประชุมของโรงแรม มาพบเพื่อนร่วมทัวร์ของเราอีก 7 วัน ที่มาจากทั่วโลก Tour Director ของเราชื่อ Elio (เอลลีโอ) ชายวัยกลางคนชาวอิตาลี ที่แนะนำตัวเองว่าเป็นหัวหน้าทัวร์มากว่า 10 ปี ภาษาอังกฤษดี ฟังง่าย Elio เริ่มต้นด้วยการอธิบายโปรแกรม และสอนวิธีการใช้ Whisper หรือหูฟัง ที่จะเป็นสมบัติติดตัวเราตลอดทริป








Day 6: โคลอสเซียม ประตูชัย และโบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์

เช้าวันนี้เราตุนอาหารเช้ากันจนอิ่ม เพราะต้องเดินทางทั้งวัน พวกเราเริ่มต้นของวันด้วยการเจอกับไกด์อีกคน (Elio ก็ยังอยู่แต่ระบบที่นี่ Tour Director จะดูแล และประสานงานมากกว่าเป็นผู้บรรยาย) ไกด์คนท้องถิ่นของเราชื่อ Stefano (สเตฟาโน) เป็นชาวอิตาเลียน แถมพ่วงด้วยปริญญาอาจารย์ด้านโบราณคดี จึงมีความรู้อย่างมาก

เราเริ่มกันที่ Coloseum (โคลอสเซียม) หนึ่งใน World Wonder ของโลก Stafano พาเราเดินเข้าไปด้านใน ผ่านคิวนักท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ต้องต่อแถวเพราะไม่ได้จองมาก่อนอย่างกลุ่มเรา Stafano ให้ทุกคนวางกล้อง งดถ่ายรูป หรือวีดีโอ และสมมุติตัวเองเป็นชาวโรมันที่กำลังเดินเข้าไปด้านในเพื่อชมการต่อสู้ของ Gladiator


ทางเข้า Coloseum ที่พวกเรากำลังนึกภาพตัวเองเป็นชาวโรมันที่เข้าไป
ดูการแข่งของ Gladiator


ระหว่างทาง Stafano อธิบายถึงการก่อสร้างที่ใช้แรงงานนักโทษกว่า 12,000 คน สร้างจากหินที่ค่อยๆเรียงขึ้นมาแต่ละด้านจนถึงตรงกลางที่วางเป็นก้อนสุดท้าย จากเวลาเริ่มต้นจนสร้างเสร็จ กินเวลาเพียง 8 ปี (คศ 72 – 80) ภายใต้จักรพรรดิ 3 พระองค์ พวกเราเดินฟังกันเพลิน และชอบจริงๆกับเจ้า Whisper ที่ทำให้เราไม่ต้องคอยยืนรวมกลุ่มเพื่อฟังไกด์อธิบายอย่างกลุ่มอื่น เดินไปเดินมา Stafano พาเรามาที่ตรงจุดกลางของ Coloseum และให้สมมุติว่าเราเป็น Gladiator ที่กำลังเดินเข้ามา และมีผู้ชมกว่า 50,000 คนที่กำลังจ้องมอง และเชียร์เรา ความรู้สึกขนลุกจริงๆ เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ และน่าเกรงขาม เสียใจก็ตรงที่พวกสิงสาราสัตว์ต้องมาตายกันจากการต่อสู้กับพวก Gladiator


มุมนี้แหละที่พวกเราสมมุติตัวเองเป็น Gladiator และมีผู้ชมกว่า 50,000 คน
กำลังดูพวกเราอยู่

Gladiator ยุคปัจจุบันค่ะ สู้กับงาน ไม่ได้สู้กับสัตว์


มุมด้านนอกของ Coloseum

จากนั้นพวกเราเดินไปแวะถ่ายรูปที่ประตูชัย Constantine, Palatine Hill และ Roman Forum ที่อยู่ในละแวกใกล้กัน ก่อนจะจบทัวร์ช่วงเช้า Stafano พาพวกเราแวะไปที่ St.Peter’s burge ก่อน เพื่อซื้อโปสการ์ดและแสตมป์สำหรับมาส่งในวันพรุ่งนี้ที่พวกเราจะแวะเข้ามาอีกครั้งเพื่อชมความงามของ Vatican Museum


ประตูชัย Constantine

ลวดลายแกะสลักของประตูชัย Constantine

พาลาทีน ฮิลล์ เนินเขา 1 ใน 7 ของโรม



ต้นไม้ใหญ่ในพาลาทีน ฮิลล์



แวะถ่ายรูป และซื้อโปสการ์ดเพื่อมาส่งต่อในวันพรุ่งนี้

วันที่เราไปเป็นวันเปิดตัวของหนัง Demons & Angles ที่ Tom Hanks แสดง
คุณสามีเลยขอถ่ายรูปกับเสาด้านหน้าโบสถ์ที่มีรูปปั้นด้านบน เหมือนใบปิดหนัง

หล่อไหมค่ะ สามีดิฉัน

Day 6: สวนสวยที่ทิโวลี

อย่างที่เคยบอกไว้ Globus Tour เป็นทัวร์ลูกผสมระหว่าง escorted tour กับ independent tour ช่วงบ่ายพวกเราจึงมีเวลาว่าง ซึ่ง Globus ก็เตรียมทัวร์กลุ่มเล็กๆ ให้เราเลือก แล้วแต่ใครจะไปหรือไม่ไปก็ได้ (อ้อ ลืมบอกว่าถ้าเลือก optional tour จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แล้วแต่ระยะทาง ซึ่งจะรวบรวมเก็บเงินวันสุดท้าย)

สำหรับพวกเราที่สำรวจโรมมา 3 วันแล้ว ตัดสินใจเลือกไปนอกเมืองกับทัวร์ Tivoli (ทิโวลี) ที่อยู่นอกโรมประมาณ 30 กิโล ซึ่งใช้เวลาเดินทางโดยรถบัสประมาณ 45 นาที ขอสารภาพว่าพวกเราไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากกับ Tivoli แค่อยากออกมานอกเมืองบ้าง แต่พอมาถึงและเห็น Villa Estate ที่เป็นสถานที่เที่ยวหลัก ก็ต้องแปลกใจปนอึ้งกับความสามารถของคนอิตาลีในสมัยก่อน

Tivoli นั้นตั้งอยู่บนเนินเขา อากาศเย็นสบายตลอดปี ดังนั้นแค่วิวก็กินขาดแล้ว Villa Estate เป็นสวนต้นแบบของ Italy ที่มีต้นไม้ ดอกไม้ และน้ำพุ ขอเน้น น้ำพุเป็นร้อยๆๆๆๆ อัน Amazing Italy จริงๆ ที่น้ำพุถูกสร้างมาเป็นร้อยปี โดยไม่มีเครื่องมือเครื่องไม้หรือปั้มน้ำ น้ำพุทุกอันเกิดจากความฉลาดของคนอิตาลีโบราณ ในการคำนวณของแรงดันน้ำและแรงโนมถ่วงของโลก ทำให้น้ำพุงออกมาได้ จุดชมน้ำพุมีหลายจุด แต่ที่เด่นๆ มีอยู่ 4 จุด คือ น้ำพุชั้น ซึ่งเป็นอันแรก น้ำพุ hundred fountain ที่ไหลมาจากหน้าสัตว์ น้ำพุที่พุ่งมาจากพื้น (ปัจจุบันปิดไว้) และน้ำพุอันสุดท้ายที่สูง 30 ฟุต โชคดีที่ Stefano เป็นไกด์ของเราอีกครั้งในช่วงบ่ายจึงทำให้เราได้ความรู้เป็นอย่างมาก

อาหารเย็นมื้อนี้รวมอยู่ใน optional tour ของ Tivoli เราขึ้นไปทานบนยอดเขา อากาศเริ่มหนาวมาก มีนักดนตรีมาขับกล่อม ไวน์ แต่อาหารวันนี้ไม่ค่อยอร่อยมากนัก …. กลับถึงโรมประมาณ 3 ทุ่ม เตรียมแพ็คกระเป๋าเพราะวันพรุ่งนี้เราจะไปชมวาติกัน และออกเดินทางจากโรมไปฟลอเรนซ์กันแล้น ….

ด้านหน้าทางเข้า


ภาพวาดบนผนังตามแบบอิตาลี

น้ำพุอันแรกของสวน


น้ำพุสูงมากๆ ทำจากธรรมชาติล้วนๆ

มีสระน้ำไว้พักน้ำก่อนลงต่อสู่น้ำพุชั้นอื่นๆ


ต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่นใน Villa Estate

ภาพน้ำพุ และสระพักน้ำ

Hundreded Fountain

Hundreded Fountain



Junny กับ Whisper คู่ใจ

มุมสวยจากบน Villa

ด้านนอกก็ยังมีน้ำพุุนะ แต่อันนี้ไม่มีบ่อ ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือน้ำรั่วกันแน่

8/30/2552

Day 7: วาติกัน ปิซ่า

วันนี้ต้องตื่นเช้ามาก เพราะ Vatican Museum เป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวไปกันล้นหลามทุกวัน ขนาดพวกเราจองตั๋วก่อนแล้ว ยังต้องมาต่อแถวด้านหน้าเพื่อเข้าอีก 15 นาที พอแปดโมงตรงที่ประตูเปิด แถวก็ยาวไปถึงสุดถนนแล้ว ลืมบอกกว่ากลุ่มมิชฉาชีพเยอะมากแถวหน้าวาติกัน ดังนั้นควรระวังกระเป๋าเป็นอย่างดี Stefano เล่าให้ฟังว่า ในแต่ละวันนั้น จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาที่วาติกันประมาณ 18,000 คน และบางวันสูงถึง 24,000 คน

พอผ่านประตูเข้ามาเราเดินผ่านห้องอียิปต์ แต่ไม่ได้หยุดเพราะหากเดินทุกจุดของวาติกัน ต้องใช้เวลากว่า 3 วัน พวกเรามีแค่ 3 ชั่วโมงจึงดูเฉพาะจุดสำคัญๆเท่านั้น เริ่มด้วยทางเดิน corridor ที่ Pope ใช้เดิน ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม จนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปโดยปริยาย แต่ละช่วงของ corridor จะมีรูปภาพบนเพดานและผนัง ซึ่งบางภาพมีการใช้เทคนิค 3D หรือ Optical Illusion ทำให้เห็นแสงสี เงา และความลึกอย่างไม่น่าเชื่อ บางรูปนึกว่าเป็นรูปปั้นออกมาจากกำแพง แต่จริงๆเป็นภาพวาด Amazing Italy อีกแล้ว นอกจากรูปภาพ ด้านข้างทางเดินจะเต็มไปด้วยรูปปั้น โดยส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นเปลือย ทำไปทำมา Pope บอกน่าเกลียด เลยเอาใบ fig มาปิด ถ้าปิดไม่ได้ก็ตัดออก (น่าเสียดายจริงๆ)







หลังจาก corridor ก็มาถึง Tapestry Room ที่ลูกศิษย์ของ Raphael เป็นคนร่าง และส่งไปที่เบลเยียม ให้ผลิตเป็นพรมขึ้นมา แต่ไม่ได้มาใช้เป็นพรมนะ เค้าเอามาแขวนข้างๆผนัง เพื่อความสวยงาม และความอบอุ่น เรื่องราวบนพรมก็จะเป็นเรื่องราวทางศาสนา งานละเอียดมาก Stefano เล่าให้ฟังว่าตอนนั่งผลิตพรมนี้นั้น ช่างต้องตรวจสอบความถูกต้องจากกระจกที่ส่องสะท้อนภาพเพื่อให้เกิดความถูกต้องทุกครั้ง
จากห้อง Tapestry เราไปต่อที่ Sistine Chapel ที่มีรูปภาพ Fresco อันเลื่องชื่อ The Last Judgment บนเพดาน จากฝีมือของ Michealangelo (มิเคเอลลันเจโล) Stefano เล่าให้เราฟังว่าช่วงแรกๆ ของการวาดนั้น พี่ไมค์ต้องมีครูมาสอนวาดภาพ Fresco แต่พอเก่งก็ไล่ออกหมด และทำการวาดเพียงคนเดียว ใช้เวลาประมาณ 8 ปี จึงแล้วเสร็จ อ้อลืมเล่าว่าทำไมต้องมีคุณครูมาช่วยสอน ก็เพราะพี่ไมค์ของเราเค้ามองว่าตัวเองเป็นนักประติมากรรม นักปั้น นักแกะสลักมากกว่า นักวาด แต่แหมคนมัน genius วาดแป็ปเดียวก็เก่ง เลยขอวาดเองทั้งหมด ภาพ Fresco บนเพดานวาดตอนอายุ 30 กว่าๆ เป็นเรื่องราวทางศาสนา New & Old Testament

เดินจาก Sistine Chapel เราไปต่อที่ Saint Peter’s Basilica เพื่อไปดูหินอ่อนที่ยับที่สุดในโลก ฝีมือของพี่ไมค์อีกแล้ว Pieta ตั้งอยู่ด้านขวาของโบสถ์ เป็นรูปแกะสลักพระแม่มารีอุ้มพระศพของพระเยซูอยู่บนตัก ขอบอกตามตรงว่าไม่ค่อยได้เห็นอะไรรายละเอียดอะไรมากนัก เพราะมีกระจกแก้วกั้นอยู่ สำหรับป้องกันเพราะเคยมีคนบ้าเข้ามาทำลายพระรูป จากนั้นเราเดินไปรอบๆ โบสถ์ซึ่งมีสถาปัตยกรรมต่างๆมากมาย อาทิเช่น Canopy กลางโบสถ์ หลังคาใต้โบสถ์ งานโมเสกต่างๆหลายแบบ รวมถึงรูป Transfiguration นอกจากศิลปะภายในแล้ว ด้านนอกของ Saint Peter’s Basilica ก็เป็นอีกจุดที่โด่งดัง และเป็นที่รวมตัวของนักท่องเที่ยว เพื่อถ่ายรูปกับเสาโอเบลิสก์ สูง 27 เมตร หนัก 300 ตัน ที่นำมาจากอียิปต์ และดูความมหัศจรรย์กับเสาหินนับร้อยต้นที่รายล้อมโบสถ์ ซึ่งหากยืนที่จุดน้ำพุของแต่ละด้านจะเห็นเสาเรียงเป็นต้นเดียวกัน อันนี้เป็นฝีมือของแบร์นินี่ค่ะ ท้ายสุดพวกเราหยุดตรงที่ทำการไปรษณีย์ เพื่อส่งโปสการ์ดถึงตัวเองที่เมืองไทย รอรับตอนกลับมาเป็นของฝากน่ารักๆ อีกอย่างหนึ่ง (ค่าเข้า Saint Peter’s Basilica ไม่มีนะค่ะ แต่ปิดวันอาทิตย์ค่ะ ส่วน Vatican Museum ค่าเข้าชม 14 ยูโร ปิดวันอาทิตย์เหมือนกัน ควรจองก่อน หรือมาเช้าๆเพื่อไม่ต้องต่อแถวนาน)














ถึงเวลาออกเดินทางต่อไปที่ Pisa เพื่อดูหอเอนปิซ่ากันแล้ว รถบัสของ Globus นั้นใหญ่กว้างขวางดีมาก บนรถมีกฎว่า ต้องมีการเวียนที่นั่งด้านหน้าทุกวัน ไม่เป็นที่เฉพาะของใคร ซึ่งก็ยุติธรรมดีเราว่า นั่งมาสักพักก็มาถึง Pisa ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น แวะจุดจอดรถทัวร์และนักรถรางไปต่ออีกนิดก็ถึง สิ่งแรกที่เห็นคือคนขายของเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นคนจีน เกาหลี คาเมรูน ต้องระวังนิดหน่อย Elio แนะนำว่าหากต้องการซื้อของควรซื้อจากร้านที่อยู่ด้านในเพราะถูกกฏหมาย อาจแพงกว่านิดหน่อยแต่ก็เป็นการช่วยคนที่ทำถูกกฎหมาย โชคดีวันนี้อากาศดี ได้รูปสวยๆมาฝากกัน

Pisa เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฟลอเรนซ์ เป็นแหล่งการค้าทางน้ำที่สำคัญในอดีต เคยถึงขั้นเป็นคู่แข่งกับเวนิสมาแล้วด้วยนะ แต่ภายหลังเกิดการสะสมของตะกอนทำให้กลายเป็นสันดอนจึงลดบทบาทลง จนมาในปี ค.ศ.1173 มีการสร้างหอระฆังคัมปานิเล สูง 165 ฟุต ต่อมากลายเป็นหอเอียง เพราะหินอ่อนตั้งซ้อนบนดินทรายที่น้ำพัด ทำให้เอียงเป็นมุม 4.5 เมตร กลายเป็นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก










จาก Pisa เราต่อกันไปที่ Florence (ฟลอเรนซ์) เข้าพักที่ Hilton Metropole และทานอาหารค่ำกันที่ห้องอาหารของโรงแรม Hilton Metropole เป็นโรงแรมใหม่ สะอาด สิ่งอำนวจความสะดวกครบ แต่อยู่ไกลตัวเมืองหน่อยเท่านั้น โชคดีที่มี Shuttle Bus ให้เลยสะดวกสำหรับคนที่ยังไม่เหนื่อยและต้องการแวะไปที่ในเมือง สำหรับพวกเราขอพักก่อนดีกว่า ตั่งแต่มาที่นี่นอนเร็วตื่นเช้า สมองโล่งๆๆๆๆๆ