About Me

รูปภาพของฉัน
Bangkok, Thailand
นักเดินทางอิสระ

9/05/2552

อียปต์: ประวัติศาสตร์
นักประวัติศาสตร์แบ่งประวัติศาสตร์อียิปต์ออกเป็น 3 ยุคใหญ่ๆ ยุคแรกคือยุคราชอาณาจักรเก่าหรือยุคสร้างพีรามิด ยุคสองคือยุคราชอาณาจักรกลาง และยุคสามคือยุคราชอาณาจักรใหม่ ที่ประกอบด้วย 30 ราชวงศ์ไอยคุปต์กว่า 3,000 ปี
ในอดีตอียิปต์แบ่งเป็นอียิปต์ตอนบนและอียิปต์ตอนล่าง มีม่น้ำไนล์ไหล่ผ่าน อียิปต์ตอนบนนั้นแห้งมีเนินทรายสีแดง จึงถูกเรียกว่าแผ่นดินสีแดง มีนกแร้งเป็นสัญลักษณ์ และอียิปต์ตอนล่าง ที่มีพื้นที่เล็กกว่า ตั้งอยู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่อุดมสมบูรณ์ จึงเรียกว่าแผ่นดินสีดำ มีงูเห่าเป็นสัญลักษณ์ ฟาโรห์นาร์เมอร์ (Pharaoh Narmer) เป็นผู้รวมอียิปต์ทั้งสองเข้าด้วยกัน และตั้ง Memphis เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอียิปต์

แม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก ยาว 6,825 กิโลเมตร ไหลจากใต้ขึ้นเหนือ กำเนิดจากทวีปแอฟริกาผ่านประเทศซูดาน อียิปต์ และไหลออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทุกวันนี้รายได้หลักของอียิปต์คือการผลิตน้ำมันส่งออก การท่องเที่ยว และการเก็บค่าธรรมเนียมจากเรือผ่านสินค้าคลองสุเอช
อียิปต์ เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในกลุ่มของอาหรับ มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 25% ปัจจุบันอียิปต์เป็นศูนย์กลางสำคัญของการศึกษาศาสนาอิสลาม มีมหาวิทยาลัยที่เปิดรับและให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาต่างชาติทั่วโลก สำหรับนักศึกษาไทยที่มาศึกษาจะมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียนศาสานอิสลามเป็นวิชาเอก

เมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria)
§ เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ เป็นเมืองท่าติดชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
§ เมืองอเล็กซานเดรีย สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อ 323 BC พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้านำกำลังขับไล่พวกเปอร์เซียที่ปกครองอียิปต์ และประกาศตนเป็นผู้ปกครองประเทศแทน แต่ภายหลังสิ้นพระชนม์ พโตเลมี ขุนพลคู่ใจได้ขึ้นครองอำนาจแทน และกลายเป็นฟาโรห์เชื้อสายกรีกแห่งอียิปต์ ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้าย ที่ปกครองอียิปต์จนเจริญรุ่งเรืองกว่า 300 ปี
o เชื้อสายพโตเลมีที่เป็นที่รู้จักคือพระนางคลีโอพัตราที่ 7 เป็นธิดาของพโตเลมีที่ 12 พระนางได้ขึ้นครองราชย์พร้อมกับน้องชายพโตเลมีที่ 13 ขณะนั้นโรมันได้แผ่ขยายอำนาจมาพระนางจึงใช้เสน่ห์ยั่วยวนจนได้อภิเษกกับจูเลียสซีซาร์แห่งโรมัน แต่เมื่อซีซ่าร์ถูกลอบสังหาร พระนางได้อภิเษกกับมาร์ค แอนโทนี เพื่อหวังใช้กองกำลังของโรมันปกครองบัลลังก์ ทำให้อ๊อกตาเวียน ผู้นำสูงสุดของโรมันขณะนั้นไม่พอใจ จึงได้ประกาศสงครามกับอียิปต์ พระนางและแอนโทนีตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อไม่ให้ถูกจับเป็นเชลย
o หอสมุดอเล็กซานเดรียได้ชื่อว่าเป็นหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อ 2,000 ปีก่อน เป็นหอสมุดที่รวบรมแหล่งความรู้อันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติ แต่ได้ถูกไฟไหม้ลงเพียงไม่กี่ร้อยปีหลังจากที่สร้างเสร็จ ปัจจุบันได้มีการสร้างหอสมุดใหม่เปิดให้บริการปี 2003 เป็นอาคารที่ได้รับรางวัลระดับโลก อาคารประกอบด้วยตัวอักษรภาษาต่างๆรวมทั้ง “ก” ของประเทศไทย
o สุสานใต้ดินคอม เอล ชาคาฟา (Kom el Shaqafa) ถูกค้นพบโดยลาที่เดินหล่นลงไปในปี คศ 1900 ได้รับคัดเลือกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในยุคกลาง เพราะความอุตสาหะและเทคโนโลยีของคนเมื่อ 2,000 ปีก่อนที่สามารถขุดชั้นใต้ดินเป็นหินแข็งได้ลึกและสร้างเมืองใหญ่โต เจาะลึกลงไปหลาย 10 เมตร มีทางเดินยาวหลายกิโล สุสานแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ศิลปะตกแต่งได้รับอิทธิพลจากหลายวัฒนธรรม สามารถเก็บศพได้ถึง 50,000 ศพ


ไคโร (Cairo)
§ เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ เป็นเมืองที่มีมลพิษติดอันดับโลก เนื่องจากการจราจรที่ติดขัด การที่พื้นที่ติดกับทะเลทรายซาฮาร่าทำให้มีฝุ่นพัดเข้ามา รวมทั้งที่ติดแหล่งผลิตน้ำมันจึงทำให้อากาศเป็นพิษ
§ รถยนต์ที่วิ่งบนถนนเก่าประมาณ 30 ปี สภาพทรุดโทรม รอยถูกชนทั้งคัน ส่วนใหญ่เป็นรถยี่ห้อเปอร์โย เฟียต และโฟล์ก
§ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ มีหน้ากากทองคำของฟาโรห์ตุตันคาเมนหนัก 14 กิโลกรัม และห้องแสดงมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของอียิปตืกว่า 10 องค์ ส่วนใหญ่พบจากสุสานในหุบเขากษัตริย์ ในห้องปรับอุณหภูมิอยู่ที่ 22 องศาเพื่อให้เหมือนกับภายในสุสาน
o มัมมี่ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ได้รับความสนใจสูงสุด เนื่องจากเป็นผู้เกรียงไกรที่สุดของอียิปตื เป็นฟาโรห์ที่ครองราชย์นานถึง 67 ปี และสิ้นพระชนมืเมื่อพระชนมายุ 92 พรรษา
§ ตลาดข่านอัล-คาลิลี (Khan Al-Khalili) เป็นตลาดขายสินค้าพื้นเมืองสำหรับชาวต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในไคโร เดิมเป็นตลาดของชาวเติร์ก ปัจจุบันเป็นเหมือนจตุจักรบ้านเรา ได้ชื่อว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก
พีรามิด
§ พีรามิด เป็นภาษากรีกหมายถึงขนมเค้กข้าวสาลี ที่มีรูปทรงคล้ายพีรามิด สำหรับคนอียิปต์เรียกพีรามิดว่า เมอร์ (Mer)
§ ยุคแรกๆสันนิษฐานว่าเป็นการนำดินมากลบทับหลุมศพ ต่อมาเมื่อเจริญขึ้น จึงนำเครื่องประดับของมีค่าใส่ลงไป พร้อมทำให้หลุมศพมั่นคงแข็งแรงขึ้น เรียกกว่า มาสตาบา (Mastaba) และต่อมาพัฒนาเป็นพีรามิดตามที่เห็น เพื่อเป็นบันไดสู่สวรรค์ ให้เข้าใกล้เทพราให้มากที่สุด
§ Imhotep อิมโฮเทป เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบสุสานฟาโรห์ที่กลายเป็นรูปทรงพีรามิด คนอียิปต์ให้การนับถือจนยกย่องให้เป็นเทพองค์หนึ่ง (หนังเรื่อง Mummy สร้งให้อิมโฮเทปเป็นตัวร้าย สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอียิปต์มาก)
§ ชาวอียิปต์เชื่อว่าการมีส่วนร่วมในการสร้างพีรามิดจะทำให้สามารถติดตามฟาโรห์ไปสวรรค์ในโลกหน้าได้ จึงเป็นความเต็มใจที่ร่วมกันสร้าง ซึ่งปกติจะใช้เวลาหน้าแล้วเป็นเวลาสร้างหลังจากการเก็บเกี่ยวเพาะปลูก
§ ไม่มีใครรู้ว่าคนโบราณใช้เทคโนโลยีอันใดมาตัดก้อนหิน วางเรียงซ้อนกัน มีทฤษฏีมากมายเกี่ยวกับการสร้างพีรามิด เช่นมนุษย์ต่างดาวเป็นผู้สร้าง หรือกลุ่มชนแอตแลนติสผู้มีอารยธรรมก้าวหน้าเป็นผู้สร้าง
§ พีรามิดทั้งหมดจะเอียงทำมุมประมาณ 50 องศา ต้องสร้างให้สูงใหญ่ ยิ่งสูงมากก็ยิ่งเข้าใกล้สวรรค์มากขึ้น

เมืองกีซ่า (Giza)
§ ตั้งอยู่ห่างจากไคโรประมาณ 10 กม เป็นกลุ่มพีรามิดที่มีชื่อเสียงและงดงามที่สุดในโลก ประกอบด้วย 3 พีรามิดตั้งเรียงกัน
o พีรามิดคูฟู (Pyramid of Khufu) เป็นพีรามิดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัสจรรย์ของโลกยุคโบราณ
สร้างในสมัยฟาโรห์คูฟู ซึ่งครองราชย์ระหว่าง 2579 – 2556 ปีก่อนคริสต์ศักราช ฐานพีรามิดเป็นสีเหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 230 เมตร ประกอบด้วยหินแกรนิตและหินปูนหนัก 2.5 ตัน ขนาดความสูง 5 ฟุต จำนวน 2.5 ล้านก้อนเรียงต่อกัน ก้อนหินที่หนักที่สุด หนัก 15 ตัน เรียงต่อขึ้นไปลดขนาดลงเรื่อยๆ จนถึงยอด ก้อนหินส่วนบนสุดมีขนาดสูงเพียง 21 นิ้ว และนับความสูงได้ 147 เมตร น้ำหนักรวม 6.5 ล้านตัน (ปัจจุบันความสูงลดลง 9 เมตรเนื่องจากฝนและพายุทะเลทราย)
ข้างๆพีรามิดมีพิพิธภัณสำคัญเป็นที่เก็บเรือไม้โบราณอายุ 4,000 ปี สันนิฐานว่าคือเรือพระอาทิตย์หรือสุริยะเภตราของฟาโรห็คูฟู สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นพาหนะนำพระองค์เดินทางไปสู่โลกหน้า
o พีรามิดคาฟรา (Pyramid Khafra) ผู้สร้างคือฟาโรห์คาฟรา เป็นโอรสของฟาโรห์คูฟู พีรามิดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินที่สูงกว่าพีรามิดคูฟูจึงดูเหมือนใหญ่ที่สุดในกลุ่มพีรามิดแห่งกีซา หน้าพีรามิดคาฟรามีสฟิงซ์ขนาดยักษ์ สูง 20 เมตร ลำตัวยาว 74 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฝ้าอยู่ เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ พละกำลังคือสิงโตผสมกับปัญญาความรู้คือใบหน้าของมนุษย์ ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่เมื่อมีการศึกษารากฐานหินปูนที่ใช้ก่อสร้างมีอายุประมาณ 9,000 ปีหรืออาจจะนานกว่านั้น ซึ่งหมายความว่าสฟิงซ์ตัวนี้สร้างมาก่อนพีรามิดคาฟราที่มีอายุเพียง 4,500 ปี สำหรับชาวอียิปต์ สฟิงซ์คือเทพเจ้าฮาร์มาคิส (Harmakhis) มีหัวเป็นมนุษย์ ร่างกายเป็นสิงโต
o พีรามิดเมนคาอูเร (Pyramid Menkaure) เป็นพีรามิดที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาพีรามินแห่งกิซา สร้างโดยฟาโรห์เมนคาอู โอรสของฟาโรห์คาฟรา สันนิฐานว่าที่สร้างพีรามิดให้มีขนาดย่อมนั้นเนื่องมาจากเงินท้องพระคลังหมดหลังจากสร้างพีรามิดคูฟู และพีรามิดคาฟรา

เมืองลักซอร์ (Luxor)
§ Luxor มีความหมายว่าพระราชวัง เป็นเมืองโบราณที่ยังคงร่องรอยอารยธรรมอียิปต์โบราณมากที่สุด เป็นที่ตั้งของวิหารคาร์นัก (Kanak) สุสานกษัตริย์ (Valley of the Kings) และวิหารของพระนางฮัตเชปสุต (Djeser-Djeseru Hatshepsut’s Temple)
§ ภายในเมืองลักซอร์คือที่ตั้งของนครธีบส์ (Thebes) อันเป็นเมืองหลวงของอียิปต์ยุคใหม่ (1570-1070 ก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของอียิปต์ นครธีบส์ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ ตามหลักความเชื่อว่าเป็นฝั่งคนมีชีวิต
§ Valley of the Kings: ปากทางเป็นรูปปั้นเมมมอน (Memmo) ขนาดสูง 18 เมตร เป็นผู้พิทักษ์สุสาน สร้างโดยฟาโรห์อาเมนโนฟิสที่ 3 (Amenophis III) 3,000 ปีก่อน เพื่อใช้เป็นสุสานของพระองค์ แต่จากภัยธรรมชาติปัจจุบันจึงเหลือแค่รูปปั้นยักษ์ 2 ตนเท่านั้น ปากทางเข้าสุสานเป็นตัวอาคาร มีโมเดลแสดงที่ตั้งของสุสานจำนวน 62 แห่งที่ขุดพบ แต่ละสุสานจะมีตัวอักษร KV (Kings Valley)
§ สุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 3 เป็นกษัตริย์นักรบคนสำคัญ ภายในมีอุโมงค์ยาวถึง 125 เมตร ตามกำแพงมีภาพวาดสีงดงาม ซึ่งชาวอียิปต์โบราณใช้แร่เป็นส่วนประกอบของสีจึงทำให้มีอายุคงทนถึง 3,000 ปี เนื้อหามักเป็นเรื่องราวชีวิตหลังความตาย เมื่อคา (วิญญาณ) ของผู้ตายได้ออกจากร่างมัมมี่ เทพอนูบิส (Anubis) เทพแห่งความตายผู้มีรูปร่างเป็นคน ศรีษะเป็นสุนัขจิ้งจอกสีดำจะผู้ดูแลศพไม่ให้เปื่อยเน่า และเทพไอซิส (Isis) จะมาต้อนรับและพานั่งเรือข้ามแม่น้ำไปสู่แดนมรณะที่มีเทพโอซิริส (Osiris) เป็นผู้ตัดสินว่าใครจะขึ้นสวรรค์ โดยนำหัวใจชั่งกับตาชั่ง หากหัวใจเบากว่าขนนกกระจอกเทศ ก็จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่หากหนักกว่าเทพอนูบิสจะโยนหัวใจให้กับอัมมุต (Ammut) อสูรร้ายที่มีศีรษะเป็นจรเข้ ลำตัวเป็นสิงโตกัดกิน
o สุสานตุตันคาเมน (KV 62) เป็นสุสานฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 18 ครองราชย์เพียง 10 ปี โดยสิ้นพระชนม์ในวัย 18 พรรษา สาเหตุที่เป็นสุสานที่โด่งดังเนื่องจากเป็นสุสานแรกที่ค้นพบโดยยังคงเหลือกรุสมบัติมากที่สุด รวมถึงหน้ากากทองคำ โลงศพทองคำ และทรัพย์สินมีค่าต่างๆรวมกว่า 5,000 รายการ
§ Howard Carter เป็นผู้ค้นพบสุสานตุตันคาเมน จากการสนับสนุนทางการเงินของ Lord Carnarvon เขาได้พบสุสานประกอบด้วยห้อง 4 ห้อง โดย 3 ห้องแรกอัดแน่นไปด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ ส่วนห้องสุดท้ายคือห้องบรรจุโลงหิน ฝาโลงทำด้วยแกรนิตสีชมพู ภายในมีโลงศพ 3 ชั้น สองชั้นแรกเป็นหีบแกะสลัก ก่อนถึงหีบพระศพทองคำฝังด้วยอัญมณีและแก้วหลากสี และมีมัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนประทับอยู่อย่างสงบ
o ฟาโรห์ยุคใหม่ที่ปกครองอียิปต์ไม่นิยมสร้างพีรามิดเนื่องจากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และมักถูกโจรลักลอบเข้าไปขโมยทรัพย์สิน ฟาโรห์รุ่นหลังจึงทำสุสานเป็นอุโมงค์เข้าไปในภูเขา ดังมีลักษณะคล้ายกับฮวงซุ้ยของคนจีน
§ วิหารฮัตเชปสุต หรือเดียร์ อัล บาฮาลี อันมีความหมายว่าวิหารฝั่งเหนือ พระนางฮัตเชปสุตเป็นฟาโรห์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของอียิปต์ วิหารฮัตเชปสุต เป็นอาคารหินปูนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าหุบเขากษัตริยื สร้างโดยฝีมือของนักบวช นามว่า เซนมุต วิหารฮัตเชปสุดนั้นได้ถูกแผ่นดินถล่มทำให้จมอยู่ใต้ทะเลทรายหลายพันปี และเพิ่งมีการขุดพบเมื่อ 100 ปีกว่ามานี้เอง ด้านหน้าวิหารเป็นระเบียงขนาดใหญ่ มีเสาสลักหินของพระนางฮัตเชปสุตใส่ชุดฉลองพระองค์เป็นเทพเข้าโอซิริส จึงถูกเรียกว่าเสาโอซิริส ด้านหลังเสาเป็นภาพแกะสลักหิน การขนย้ายแท่งหินโอบิลิสกืจากอัสวานมาตามแม่น้ำไนล์
o ในประวัติศาสตร์อียิปต์มีราชินีที่มีชื่อเสียงอยู่ 3 พระองค์ คือ พระนางคลีโอพัตรา พระนาเนเฟอร์ติติ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชินีผู้มีพระสิริโฉมงดงามที่สุด และ พระราชินีฮัตเชปสุต ฟาโรห์หญิงที่มีความสามารถมากสุด
o พระนางฮัตเชปสุตเป็นธิดาของฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 พระนางได้สมรสกับฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 2 และก้าวสู่ตำแหน่งราชินี ซึ่งกุมอำนาจทั้งในและนอกราชสำนัก ภายหลังเมือฟาโรห์สิ้นพระชนม์ และพระนางไม่มีพระโอรส ประกอบกับประเพณีอียิปต์ไม่อนุญาติให้สตรีขึ้นเป็นฟาโรห์ พระนางจึงแต่งตั้งพระโอรสของทุตโมซิสที่เกิดจากสนมเล็กๆคนหนึ่งขึ้นครองราชย์แทน แต่อำนาจกลับอยู่ที่พระนาง ดังนั้นรูปสลักของพระนางจึงสวมเครายาว อันเป็นสัญลักษณ์ของฟาโรห์ พระนางครองราชย์อยู่ถึง 20 ปี และทำให้อียิปต์รุ่งเรืองทางการค้า และงานสถาปัตยกรรมที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน คือ วิหารฮัตเชปสุต และเสาโอบิลิสก์ในมหาวิหารคาร์นัก
o วิหารคาร์นัก (Karnak) วิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มนุษย์สร้างขึ้น มีความยาว 1.5 กิโลเมตร กว้าง 800 เมตร ใช้เวลาสร้างนับพันปี ในสมัยฟาโรห์ไม่ต่ำกว่า 30 พระองค์ วิหารคาร์นักอยู่ห่างจากลักซอร์ 3 กิโลเมตร ปากทางเข้ามีสฟิงซ์ ไครออส (หัวเป็นแกะและร่างเป็นสิงโต) และซุ้มประตูสร้างเป็นหอใหญ่ เรียกว่า ไพลอน (Pylon) สูงหลายร้อยฟุต และหนาหลายสิบฟุต ด้านในมีเสาไพลอนอีกมากมาย รายล้อมวิหาร รวมถึงห้องโถงที่ใหญ่สุดลูกหูลูกตา หัวใจสำคัญของวิหารคือ วิหารอามุน-รา มีห้องโถงขนาดใหญ่ แบบ Hypostyle ปากทางมีรูปปั้นของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ด้านในประกอบด้วยเสาหินต้นปาปิรุส ทุกต้นใหญ่เท่าขนาด 10 คนโอบ จำนวน 137 ต้น แต่ละต้นสูง 23 เมตร พื้นที่ทั้งห้องอยู่ที่ 6,000 ตารางเมตร
o จากวิหารอามุน – รา เป็นเสาโอบิลิสก์ สีเหลี่ยมสูงเสียดฟ้า ยอดปลายเรียวคล้ายแท่งเข็ม เป้นเสาหินตัดแท่งเดียวไม่มีรอยต่อ ทำด้วยหินแกรนิตสีชมพู ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเทพสุริยเทพ และพลังแห่งชีวิต
o อามุนเดิมทีเป็นเทพท้องถิ่นของเมืองธีบส์ แต่เมื่อเมืองธีปสืกลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรใหม่ เทพอามุนจึงได้รับการยกย่องนับถือ ทัดเทียมกับเทพรา
§ วิหารลักซอร์ เล็กกว่าวิหารคาร์นัก 5-6 เท่า มีสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกัน สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพมัต พระชายา และเทพคอนซู เป็นเหมือนฮาเร็มที่อยู่ของฝ่ายหญิง
อัสวาน (Aswan)
§ อัสวานโด่งดังขึ้นมาเมื่อมีการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำไนล์ในสมัยประธานาธิบดีนัสเซอร์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในช่วงนั้น เขื่อนสร้างเสร็จในปี คศ 1972 ใช้คนงานก่อสร้าง 30,000 คน เป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำไนล์ ขนาดยาว 3,830 เมตร สูง 111 เมตร คลุมพื้นที่กว่า 3,750,000 ไร่ สามารถผลิตไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิด 12 เครื่องได้ประมาณ 2,000 เมกกะวัตต์ (เขื่อนภูมิพลผลิตได้ประมาณ 700 เมกกะวัตต์)
§ ผลกระทบ คือ ทำให้อาณาจักรเก่าแก่ของชาวนูเบีย และโบราณสถานกว่า 23 แห่งต้องจมอยู่ใต้น้ำ อีกทั้งยังทำให้ตะกอนดินที่อุดมสมบูรณืที่อยู่ต้นแม่น้ำไม่สามารถไหลลงมาที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำได้ ทำให้ต้องใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงจนสูงติดอันดับโลก
§ นานาชาติได้ยื่นมาเข้ามาช่วยในการย้ายโบราณสถาน ซึ่งก็สามารถย้ายได้เพียง 14 แห่ง เทวสถานที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ
o วิหารฟิเล (Philae) ปัจจุบันนี้ตั้งอยู่บนเกาะอากิลคีย์ ถูกสร้างขึ้นในยุคราชวงศ์พโตเลมี สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพีไอซิส ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพีแห่งความรักและเทพีแห่งเวทมนตร์ ห้องบูชาเทพีไอซิสเป็นห้องที่เก่าแก่ที่สุดของวิหาร เคยมีรูปปั้นของเทพีไอซิสทำด้วยหินแกรนนิตแดง ให้ผู้คนกราบไหว้ แต่ปัจจุบันถูกนำไปตั้งโชว์ที่ British Museum นานาชาติและองค์การยูเนสโกได้ทำการย้ายวิหารที่อยู่ใต้น้ำระหว่างปี 1972-1980 ด้วยการสร้างทำนบล้อมรอบเกาะ สูบน้ำออกและค่อยๆย้ายหินจำนวน 40,000 ก้อนมาไว้บนเกาะอากิลคีย์และทำเป็นวิหารใหม่ สูงกว่าเดิม 20 เมตร
o วิหารอาบูซิมเบล (Abu-Simbel) ตั้งอยู่เกือบติดกับชายแดนอียิปต์-ซูดาน เป็นวิหารหินทรายอายุกว่า 3,000 ปี สร้างในสมัยฟาโรห์รามเสสที่ 2 เพื่อบูชาเทพอามุน-รา ด้านหน้าวิหารเป็นหน้าผาหินแกะสลักเป็นรูปปั้นสูง 20 เมตรของฟาโรห์รามเสสที่ 2 จำนวน 4 รูป ด้านในห้องก็มีรูปปั้นของฟาโรห์รามเสสที่ 2 อีก 8 รูป พร้อมกับอักษรฮีโรกลิฟฟิกบนกำแพงที่สดุดีวีรกรรมของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ลึกเข้าไปมีห้องศักดิ์สิทธิ์ มีรูปปั้นหินของเทพ 4 องค์ ซึ่งจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มากราบไหว้สักการะรูปปั้นทั้ง 4
§ วิธีขนย้ายวิหาร คิดค้นโดยนักออกแบบชาวสวิสเซอร์แลนด์ โดยการตัดวิหารออกเป็นชิ้นๆและค่อยเคลื่อนย้ายด้วยปั้นจั่น และนำมาประกอบใหม่ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4 ปี แรงงานกว่า 1,000 คน วิศกร 200 คน มาประกอบหินกว่า 1,068 ชิ้น แต่ละชิ้นหนัก 20-30 ตัน
§ ปรากฏการณ์ที่สำคัญของวิหารคือการที่ลำแสงอาทิตย์จากอรุณรุ่งจะพุ่งไปกระทบรูปปั้นทั้ง 4 ที่อยู่ลึกไป 65 เมตร เป็นแสงสว่างเรืองรองประมาณ 5 นาที ซึ่งจะเกิดขึ้น 2 ครั้งต่อปี คือในวันที่ 22 เดือนกุมภาพันธ์และเดือนตุลาคม
§ ข้างวิหารอาบูซิมเบล คือ วิหารพระราชินีเนเฟอร์ตารี พระมเหสีองค์แรกผู้ทรงรักมากที่สุดในบรรดามเหสี 51 องค์

เทพเจ้าของชาวอียิปต์
§ เทพเร หรือรา คือ เทพแห่งดวงอาทิตย์ เป็นเทพสูงสุดของชาวอียิปต์ในสมัยอาณาจักรเก่า เป็นเทพเจ้าแห่งความเป็นอมตะมี
§ เทพอามุน-รา เดิมเป็นเทพท้องถิ่นประจำเมือธีปส์ ต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าสูงสุดในสมัยอาณาจักรใหม่
§ เทพโอซิริส (Osiris) เทพีไอซิส (Isis) และเทพฮอรัส (Horus)
o ตามตำนานเล่าว่าโอซิริสเป็นเทพองค์หนึ่งที่แบ่งภาคมาเกิดเป็นมนุษย์และเป็นกษัตริย์ของอียิปต์ ทรงมีเทพีไอซิสน้องสาว เป็นชายา และมีโอรสคือเทพฮอรัส ทั้งสองปกครองแผ่นดินด้วยความสงบสุขร่มเย็น สร้างความอิจฉาต่อเทพเซธ (Seth) พระอนุชา จึงวางแผนหลอกให้เทพโอซิริสเข้าไปนอนในโลงศพและปิดฝาโยนลงแม่น้ำไนล์ เทพีไอซิสได้ออกตามหาศพเพื่อมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จนพบโลงศพ แต่เทพเซธมาทันและหั่นร่างของเทพโอซิริสเป็น 14 ส่วนนำไปโยนทั่วอียิปต์ เทพีไอซิสใช้เวลาหลายปีในการรวบรวมส่วนประกอบ ขาดแต่อวัยวะเพศที่ถูกปลาในแม่น้ำไนล์กัดกิน เทพีไอซิสจึงร่ายเวทย์มนต์ให้อวัยะนั้นกลับคืนมา จึงได้ประกอบพิธีทางศาสานและฝังท่านบนเกาะฟิเล ทำให้วิญญาณท่านกลับส่งแดนมรณะ กลายเป็นเทพผู้ตัดสินความตายและการกลับคืนฟื้นคืนชีพ
o เทพโอซิริมีลักษณะเหมือนกษัตริย์ มีเครา ถือแส้และคทาหัวขอ เทพีไอซิสมีรูปร่างเป็นสตรี สวมหมวกรูปบัลลังก์ เทพฮอรัสมีศรีษะเป็นเหยี่ยว
ความเชื่อของคนอียิปต์
§ พระอาทิตย์มีอิทธิพลกับความคิดและความเชื่อของคนอียิปต์ อาทิเช่น
o เชื่อว่าทิศตะวันออกเป็นทิศของคนเป็น จึงนิยมสร้างบ้านเรือนทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ และฝั่งตะวันตกเป็นทิศของคนตายจึงนิยมสร้างพระราชวังวิหารบูชาเทพเจ้า รวมถึงสุสานและพีรามิด
o เชื่อว่าคนตายแล้วจะกลับคืนชีพมาใหม่เหมือนดวงอาทิตย์ที่จะขึ้นมาใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้นจึงมีสุริยเทพชื่อ “รา” ที่ได้รับการบูชาเป็นเทพสูงสุดที่ถูกส่งมาปกครองโลก
อื่นๆ
§ อินทผลัม เป็นพืชเฉพาะถิ่นที่ชาวอียิปต์ปลูกกันมาตั่งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ เป้นพืชตระกูลปาลม์ชนิดหนึ่ง ขึ้นดีในภูมิอากาศที่แห้งแล้งแม้ในทะเลทราย อินทผลัมสด ลูกสีแดงมีรสชาติหวานกรอบ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก
§ วิธีการทำมัมมี่ เริ่มจากการใช้ตะขอเกี่ยวเอามันสมองออกมาทางโพรงจมูก ควักลูกตาออกแทนที่ด้วยลูกแก้ว รวมทั้งเอาตับ ไต ลำไส้ กระเพาะอาหาร ออกมาบรรจุในโถคาโนปิก (Canopic) แล้วเอาน้ำมันสีดำอัดแทนที่เข้าไปเพื่อไม่ให้ร่างกายยุบ ต่อมาจึงนำร่างกายไปแช่น้ำยานาตรอนเป็นเวลา 70 วัน จนร่างกายแห้งสนิทไม่เน่าเปื่อย แล้วจึงพันด้วยผ้าลินินชุบน้ำยานาตรอนตลอดร่างยกเว้นใบหน้า
§ Nubian คือ ชนเผ่าที่มีเชื่อชาติผสมกันระหว่างอียิปต์และอัฟริกา อาศัยอยู่ในแผ่นดินนูเบีย เขตอัสวาน ซึ่งต่อมาถูกทำลายจากการสร้างเขื่อนอัสวาน (High Dam)

Felucca and Khan Al Khalili Market




Felucca is a traditional boat using in the Nile river. It can fit from 1 – 15 people. We went on the ride around 17:00 while the sunset. The view was spectacular but unluckily there were no wind on that day; therefore, our fisherman will need to row the boat himself.


Before leaving Egypt, we had a bit of shopping at Khan Al-Khalili Markets. There are hundreds of shop selling similar products from essential oil to home decorative in Egypt Styles. Recommended gifts are real papyrus, essential oil and Egypt cotton. You can find real papyrus at the factory guarantee by government. It costs about 3 times more expensive than the fake ones; however, it last for over thousand years though. You can have your name written on it. We had our nick-names on it (see pictures). At the market, it’s very cheap and good for souvenirs. Essential oil is another good-gifted product. It’s the 100% extraction of the flower and herb. There are 3 kinds of scents (flower, blended and others). Popular scent are Egypt lotus, Mint and Secret of Dessert. Lastly, it’s the Egyptian cotton where you can find at the market. Please ask your tour operator or local guide for T-Shirt embroidery with Katus (Pharaoh Symbol). For tattoo lovers, you can try henna paint on your body or hands at Khan Al-Khalili Markets.

Egypt National Museum


Egypt National Museum
Egypt National Museum: Most tourists will spend time in Mummy Room and 2nd floor for Tuttakamen room. I first refused to go into Mummy room but husband insisted. He said that it’s once in a lifetime. There are about 15 Mummies in the room. Some still has hair, teeth and nails. It’s amazing that these mummies are formed about 5,000 year ago. Well, it’s not that scary at last.

On the 2nd floor are filled with Tuttakarmen personal items. It’s a belief of ancient Egyptian to put all Pharaoh personal items including their organs with him for his reborn. We’d seen the 1st boomerang, condoms, folding chairs and Tuttakarment underwear. Finally, we went into the Tuttakarmen room. There are golden mask made with real gold weight 11 kg and golden coffin weight 100 kg. The mask was so stunning. I was standing there looking at it with unbelievable …. How can the ancient people can make these kind of things. The gold was so smooth and the color was still fresh. After leaving the room, we went downstairs to check out some others key items at the museum and one was the statue that look so real ‘cas they had put the real glass into the eyes. It’s so real when you looked into their eyes. Overall, I think it’s very interesting museum; however, it has a poor management. People can sometimes touch the items and caused the damage.

The Great Pyramid of Giza

Panoramic View of 3 Great Pyramids

Welcome back to Cairo. Today was the day that everyone was waiting for. It’s the day that we would visit the Great Pyramid of Giza, the 7 wonders of the world in ancient times. The weather was nice with clear sky. We stop at the Mena House Oberoi hotel where is the most expensive hotel in Cairo due to the location and the fact that it was the old castle. My husband and I were very excited. It’s the climax of the trip !!! The first pyramid was built for Pharaoh Khufu 2579 years BC. It’s 147 meter high. It’s huge (but we expected it to be much more) The second (Pyramid Khafra) and third (Pyramid Menkaure) were located nearby. I was amazed by the fact that they built the pyramid about 5,000 years ago when there were no modern technologies to help them.


Camel ride at Giza. After enjoying the walk around the pyramid and taking pictures, we went to the higher hill with panorama view of the 3 pyramids and took a camel ride. It cost around 10 xxx. Camels were well taking care of. They were cute. We rode on one camel. It felt like rollercoaster when it got up and down. You have to be really careful to hold the seating tight.


After Giza, we went to Memphis where we saw the huge Ramese II statue and Sukkara, the first stepped pyramid. Well, it’s much less exciting to see Memphis and Sukkara after you’ve been to Giza though.
Alexandria coastline with Hosni Mubarak Picture !!!

Alexandria: Surprisingly, Alex is more beautiful than I thought. The hotel that we stayed was right on the coastline. The road along the coastline is approximately 32 km long. Alex is the 2nd largent cities in Egypt with 5 mil registered population. Our tour guide said that it would be as much as 20 million people here during the summer time. It was built to commemorate of Alexander the Grate 323 BC.

It’s such a pity that the buildings are built unfinished and coastline café were old and filthy. Can’t imagine we were on the Mediterranean coastline and closed to Greece. The paradise of Mediterranean.

Alexandria – Kom El Shaqafa: Our first visit was at the underground cemetery built by Roman and was voted for world wonder for middle age. There are 3 levels but we can only visit 2 levels ‘cas the 3rd one was filled with underground water. It’s an okay place. People who love underground things would like it. For me who has an allergy problem, it was a bit painful since the air is moist and damp (ผ้าปิดปาก is recommended). We spend around 20 minutes underground. We passed through the ช่องใส่โลงศพ which was scary. I walked very fast to get passed it quickly.

Alexandria – Pompey pillar: It’s the stone pillar that was left. There is 2 small sized sphinxes lying in front of the pillar. It’s a simple site yet it’s our first time to see real sphinx so we took loads of photo (as pictures)


Alexandria – Citadel of Quitbay: It’s an old fortress built around 300 years ago. The wall is about 2 meter thickness. (as pictures)


Alexandria – Alexandria Library: It’s once claimed to be the largest library in the world (2,000 years ago). The original was built in Cleopatra period to keep all documents from around the world. Sadly, it was burnt down and rebuilt. New library exterior is modern with the wall filled with alphabet from around the world. Every tourist will spend time looking to find their own language. For Thais, it was a word called ผู้ given by HRH Princess. She spent about 7 hours in
the library

Cairo, Egypt

Taxi in Cairo. 20 years old Fiat in black & white color


Cairo: We went during November; therefore, the weather was nice. It's warm in the sun light and cold at night. Cairo is beautiful more than I fist thought. On the east side, there were unfinished construction buildings and apartments which I later learned that they were actually finished buldings ('cas of the high tax. they wouldn't finished their construction. They would leave it unfinished with bricks wall). On the west, it's the land of the death. It's the cemetery; however, currently poor people leave there 'cas of cheap rental. Well, they are living with the death (about 1 mil people leave there).

My favorite part was to watching Cairo traffic. Everyone ran through the red light. No one seems to care about road regulations. Noises of the honking horns were everywhere. The bus would stop anyplace that their customers want them to stop. Bus stations were ignored. Their taxis are real classic. Most of them are about 20 years dated (see picture). Color of taxi represents the city location. Black & White is in Cairo while yellow is for Alexandria.

Cairo - Alexandria: We were on the bus to Alex. There are fortresses with soldiers along the way after leaving Cairo. They are here to protect tourists. It’s a bit frightened at first but you will get used to 'cas there would be lots of soldiers in tourist places. Along the roadside, there would be Olive and Dates Tree. We took a road named “desert road” and arrive Alex about 2-3 hours later.

Welcome to Egypt by Egypt Air

Money Exchange Booth in the Airport

Welcome to Egypt !!!!

Believed that Egypt is one of desired place for every traveller. I planned this trip with my husband and we decided to visit only the lower Egypt in fear of terrorists, poor road condition, and poor standard Nile cruise (which we were wrong about this....).

We flew from Bangkok, Thailand directly to Cairo, Egypt by Egypt Air. Better than expected, the seats are huge enough to tuck yourself in at night flight. Worse than expected, the plane was a bit run down i.e. torn armchair and seating. They provided fundamental services i.e. food, drink, blanket and etc. However, they did not provide special amenities i.e. eye patch, toothpaste, socks and etc. Oh, there is no personal in-flight entertainment and movie programs weren’t updated. Flight time was round 9 – 10 hours.

Immigration: Service was poor. We arrived around 6:00 am and had to wait 1.30 hrs for VISA on arrival. Our tour leader claimed that there was a misinformation about our tour group (suggested you to have your VISA ready from your countries and ensure you have someone process for you at the Airport).

Money exchange: You can exchange money from the Airport (see pictures). It's located in the arrival hall. We exchanged for USD 450 (2 people) and could last for 5 days (our tour include meals and entrance fees).

Veranda Resort & Spa (หัวหิน - ชะอำ)

วันนี้มีโอกาสมาพักที่ Veranda Resort & Spa ที่ชะอำ เป็น Resort ที่ได้ยินชื่อเสียงมานานแต่ไม่เคยมีโอกาสมาพักสักที เราพักกันที่ห้อง Seaview Jacuzzi ค่ะ เป็นตึกที่อยู่ด้านหลังโรงแรม เห็นทะเล แต่อยู่ลิบๆมากๆ


Veranda Resort & Spa เป็นโรงแรมที่สร้างมาประมาณ 5 ปี วันแรกคุณสามีได้พักห้อง Pool Villa เพราะมากับที่ทำงาน แอบผิดหวังเล็กน้อยเพราะสระว่ายน้ำและ ลานหน้า pool ค่อนข้างเก่า แต่ด้านในตกแต่งทันสมัยใช้ได้ เหมาะกับมากับครอบครัว พ่อ แม่ และลูกเล็ก 2 คน ไม่เหมาะกับกลุ่มเพื่อน เพราะถึงแม้จะมี 2 ห้องนอน แต่เตียงใหญ่มีห้องเดียว อีกห้องเป็นชั้นลอย เตียง queen size และที่สำคัญคือ ไม่เห็นทะเลนะค่ะ มีห้อง pool villa ที่เห็นทะเลอยู่ 3 ห้องเท่านั้น ราคาประมาณ 16,000 ต่อคืน ดังนั้นเพื่อความคุ้ม ขอแนะนำให้พักห้อง Suite ที่มีห้องนอน และห้องนั่งเล่น อีกยังเห็นทะเลด้วย ราคาถูกกว่าด้วยค่ะ

ห้องที่เราพัก เป็นตึกสร้างใหม่ 7 ชั้น ห้องเราอยู่ชั้นที่ 4 ห้องค่อนข้างใหญ่ประมาณ 55 ตารางเมตร อยู่สบาย ชอบที่ balcony ที่กว้าง และสามารถนั่งอ่านหนังสือ และ internet ได้ (อ้อ free wi-fi internet ด้วยค่ะที่นี่) แต่อาจรู้สึกแตกแยกนิดๆเพราะ เป็นตึกที่แยกตัวออกมาอยู่ด้านหลังโรงแรม





ที่ Veranda Resort & Spa มีห้องอาหาร 2 ห้อง ห้องแรกชื่อ Dinning Room ไม่ติดทะเล ตกแต่งง่ายๆ อีกห้องชื่อ ระเบียงทะเล แค่ชื่อก็รู้ว่าติดทะเล มีดาดฟ้าด้านบนสำหรับนั่งเล่นค่ะ อาหารเย็นวันนี้เราตัดสินใจทานที่ "สังเวียนครัว" ที่เดินจากโรงแรมไปประมาณ 5 นาที (ระหว่างเดินกลับ แอบเจอดารา ชาคริต แย้มนามด้วย มากับเพื่อนผู้ชายค่ะ) คนเยอะมาก แต่เราว่ารสชาดธรรมดานะ คุณสามีบอกว่าจริงๆแล้วอร่อยนะ แต่ต้องทานของสด พวกเราสั่งต้มยำกุ้ง กุ้งอบวุ้นเส้น และปูผัดผงกระหรีค่ะ

สระว่ายน้ำก็ใหญ่ใช้ได้นะ แต่เด็กเยอะมาก เจอคนรู้จักอีกเพียบ (หากไม่ต้องการเจอใคร ควรพักที่อื่นนะค่ะ ขอแอบกระซิบบอกไว้ก่อนสำหรับ ดารา และ celeb ทั้งหลาย) หน้าหาดสะอาดใช้ได้ มีอุปกรณ์กีฬาทางน้ำให้ยืม มีม้าให้เด็กๆขี่


ที่ไม่ค่อยชอบคือ Veranda Spa ราคาสูงไปนิ้ดนึง ควรอยู่ประมาณ 2,000 nett สำหรับนวดน้ำมัน swedish และปิดรับแขกสุดท้ายตอน 6:00 เย็น ดังนั้นคืนนี้เลยอดนวดเลยค่ะ น่าจะปิดสักเที่ยงคืนสำหรับเสาร์อาทิตย์มากกว่านะ ....
ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จากเว็ป http://www.verandaresortandspa.com/

9/01/2552

ข้อมูลทั่วไปประเทศอิตาลี

Italy at a Glance



  • อิตาลีตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป เป็นหนึ่งใน 7 ประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวย หรือ G7 เป็นสมาชิกสหาภาพยุโรป หรือ EU มีการปกครองแบบสาธารณรัญประชาธิปไตย มีประธานาธิบดี (President) และนายกรัฐมนตรี (Prime minister) ซึ่ง PM (Prime Minister) จะมีอำนาจมากกว่าในการปกครองประเทศ Prime minister คนปัจจุบันชื่อเซอร์วิโอ เบลลุสโคนี เป็นมาแล้ว 3 สมัย เป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศเพราะเป็นเจ้าของสื่อสำคัญๆของประเทศด้วย

  • รัฐบาลอิตาลีมักเป็นรัฐบาลผสม (Coalition) เพราะมีประมาณ 30 พรรคการเมืองดังนั้นเมื่อมีการเลือกตั้ง จึงต้องมีการรวมพรรคเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก

  • Mafia ของอิตาลี (ข้อมูลจากไกด์ Elio) mafia ผังรากลึกมามากกว่า 200 ปี โดยเฉพาะทางอิตาลีตอนใต้ Mafia เป็นเหมือนหน่วยงานที่ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนทางภาคใต้ แต่มีการปฏิบัติผิดกฎหมาย ซึ่งแก้ยากแม้แต่ในสมัยของมุสโสลินี เพราะ Mafia มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักการเมือง และผู้ปกครองประเทศหลายคนอยู่

  • อิตาลีตอนเหนือ (Northern Italy) นับจากแค้วนลาซิโอ (Lazio) ขึ้นไป มีความเจริญมากกว่าทางตอนใต้ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศ และจากดินแดนที่ติดกับกลุ่มประเทศยุโรปมากกว่า จึงทำให้ทางตอนเหนือเป็นเขตอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ให้กับประเทศมากกว่าทางตอนใต้ ผู้คนที่อยู่ทางตอนเหนือจะมีรายได้ และการศึกษาที่ดีกว่าทางตอนใต้ เป็นเหตุให้หลายๆครั้งที่คนทางเหนือมองคนทางใต้เป็นพวกขี้เกียจไม่ทำงาน และคนทางเหนือเป็นผู้จ่ายภาษีรัฐบาล ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ Mafia ทางตอนใต้มีอิทธิพลมากกับการใช้ชีวิตของคนทางใต้

  • การศึกษา เด็กนักเรียนจะได้รับการศึกษาฟรีจนถึง high school (ตรวจสอบข้อมูล) เด็กจะเรียนหนังสือจันทร์ถึงเสาร์ จากเช้าถึงครึ่งวัน และกลับมาทานข้าวกลางวัน และเย็นที่บ้าน

  • ที่อิตาลีเดิมเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีลูกหลายคน แม่เป็นคนที่มีบทบาทมากภายในบ้าน ส่วนพ่อจะเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว ผู้ชายอิตาลีบางคนบอกเราว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนอิตาลีคือแม่ ถึงมีการร้องว่า mama mia มากกว่า oh my god รองลองมาเป็น football และรถยนต์

  • รถยนต์ที่มีสัญชาติอิตาลี Ferrari, Fiat, Lancia & Lamborghini

  • คนอิตาลีเป็นคนที่แต่งตัวดี ผู้ชายกล้าแต่งตัว ใส่กางกางสีๆ และกล้า mix & match ส่วนผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีรูปร่าง่ที่ดีอาจจะเพราะทานอาหารที่มีสุขภาพ น้ำมันมะกอก และไม่ค่อยมีของทอด มักเป็นอบและแป้งมากกว่า สลัดก็สดและมีรสชาดที่หวานตามธรรมชาติ

  • คนอิตาลีเป็นคนที่สูบบุหรีเยอะทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ต้องทำใจ เพราะคนเดินสูบกันตามถนน เป็นที่น่ารำคาญมาก

  • คนอิตาลีเป็นคนที่ยิ้มแย้ม มีอารมณ์ขันโดยเฉพาะผู้ชาย ดูมีเสนห์ และ nice สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควร ยิ่งมีการศึกษายิ่งพูดได้ดียิ่งขึ้น

  • พื้นที่ 75% เป็นภูเขาและที่ราบสูง ติดกับสวิส และออสเตรีย มีภูมิอากาศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน มีประชากรประมาณ 60 ล้านคน เป็นแหล่งกำเนิของอารยธรรมโรมัน มีภาษาของตัวเอง เป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และใช้เงิน Euro

  • ใช้ไฟ 220 โวลต์ กับปลั๊กขากลมอย่างเรียวแบบ 2 ขา

  • เวลาช้ากว่าเมืองไทย 6 ชั่วโมง ยกเว้นช่วงหน้าร้อน (เดือนมีนาคม) เป็น 5 ชั่วโมง

Rome:



  • ควรซื้อบัตร Roma Pass (http://www.romapass/) ถ้าต้องการท่องเที่ยวในโรมประมาณ 3 วัน และต้องตอกบัตรทำครั้งหลังขึ้นไม่เช่นนั้นจะโดนค่าปรับ

  • การขึ้นรถไฟควรระวังกระเป๋า ควรระวังรถเมล์สาย 64 และสาย 40 ที่วิ่งจากแตร์มีนีไปยังเซนต์ปีเตอร์

  • ประวัติของโรมสร้างเมื่อ 753 ปีก่อนคริสตกาล อยู่ในแคว้นลาซิโอ (Lacio) เป็นเมืองหลวง ที่ใหญ่และมีประชากรมากที่สุด มีแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber) ไหลผ่าน ฝั่งซ้ายเป็นนครวาติกันที่ประทับของพระสันตะปาปา และเป็นเมืองหลวงของคริตส์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิก

  • ตามตำนานเล่าว่า ผู้ก่อตั้งโรมคือ Romulus (โรมิวลุส) ผู้มีฝาแฝดชื่อ Remus (เรมุส) ทั้งสองถูกทิ้งในตะกร้าลอยน้ำ แม่สุนัขป่ามาพบและเลี้ยงดู เมื่อโตขึ้นโรมิวฆ่าเรมุสตายและสร้างกรุงโรมขึ้นมา
    การเดินทาง

  • จากสนามบิน Fiumicino ใช้ Leonardo Express ที่วิ่งระหว่าง Termini & Fiumicino ให้เดินตามป้าย Stazione ไปเรื่อยๆ ให้บริการทุก :05 & :35 ของทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง 35นาที ซื้อตั๋วได้จากร้านขายบุหรี่ หรือเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ราคา 11 ยูโรต่อเที่ยว

  • โรมมีรถไฟใต้ดิน 2 สาย
    - สาย A สีแดงวิ่งจากตะวันออกไปตะวันตก และสาย B สีน้ำเงินวิ่งจากเหนือลงใต้ หยุดที่แตร์มินี่
    แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ

  • พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museum): ควรใช้เวลาสักประมาณ 2 ชั่วโมง ปิดวันอาทิตย์ ค่าเข้าชมประมาณ 14 ยูโร สถานนีรถไฟใต้ดิน Cipro-Musei Vaticani และเดินเลาะกำแพงตามป้าย Museo Vaticano ไปอีก 10 นาที
    จุดสำคัญในพิพิธภัณฑ์วาติกัน
    o Apollo Belvedere รูปแกะสลักของเทพอพอลโล
    o Laocoon (เลโอคูน) นักบวชแห่งทรอยที่เตือนชาวทรอยให้ระวังกรีก
    o Belvedere Torso รูปเฮอร์คิวลีสนั่งอยู่บนหนังสัตว์
    o Raphael Room เป็นห้องบรรทมของพระสันตะปาปายูลิอุสที่ 2 ตกแต่งโดยราฟาเอลและลูกศิษย์ มีทั้งหมด 4 ห้อง
    § ห้องแรก Sala di Constantine ใหญ่ที่สุดมีภาพเฟรสโกที่เล่าเรื่องราวการต่อสู้ของจักรพรรดิ คอนสแตนติน
    § ห้องที่สอง Stanza di Eliodoro
    § ห้องที่สาม Stanza Della Segnatura ราฟาเอลว่ารูปภาพเพรสโกเป็นห้องแรก เป็นห้องสมุด จึงมีภาพ School of Athens ที่โด่งดังในห้องนี้
    § ห้องสุดท้าย Stanza dell’ Incendio del Borgo เป็นห้องทรงดนตรีของพระสันตะปาปา
    o Borgia Apartments มีภาพเฟรสโกบนเพดาน เขียนถึงตำนานโอซิริสกับเอพิส
    o Sistine Chapel มีภาพเฟรสโก The Last Judgment ของมิเคลันเจโล ที่ใช้เวลาวาดภาพกว่า 4 ปี เป็นเรื่องราวของโลกก่อนการถือกำเนิของพระเยซู และการสร้างมนุษย์
    o The Tranfiguration ของราฟาเอล เป็นภาพพระเยซูลอยขึ้นอยู่เหนือยอดเขาทาเบอร์
    o St. Jerome ของลีโอนาร์โด ดาวินซี
    o Deposition ของราราวักโจ



  • Saint Peter’s Basillca: เปิดทำการทุกวัน ไม่เสียค่าเข้าชมหากไม่ขึ้นลิฟท์ชมโดม ลงที่สถานนี Ottaviano San Pietro
    o ด้านหน้าเป็นลานกว้างมีเสาโอเบลิสก์ตั้งอยู่ตรงกลาง ขนาบด้วยน้ำพุ 2 แห่ง รอบด้านรายล้อมด้วยเสาหินนับร้อยต้น และถ้ายืนที่น้ำพุของด้านนั้น จะเห็นเสาเรียงเป็นต้นเดียวกัน สร้างโดยแบร์นินี่
    o โอเบลิสก์ นำมาจากอียิปต์ สูง 27 เมตร หนัก 300 ตัน
    o เมื่อเข้าไปในโบสถ์ ด้านขวา จะเห็นพิเอต้า (Pieta) มีความหมายว่าน่าสงสาร เป็นหินอ่อนรูปพระแม่มารีอุ้มพระศพของพระเยซูอยู่บนตัก แกะสลักโดยมิเคลันเจโลเมื่ออายุเพียง 24 ปี และเป็นชิ้นเดียวที่เสลักชื่อไว้บนแถบผ้าที่หน้าอกของพระแม่มารี
    o ตรงลานของมหาวิหารมีที่ทำการไปรษณีย์ของรัฐวาติกันที่มีแสตมป์ของวาติกันเอง ลองแวะไปส่งโปสการ์ดถึงตัวเองไป ประมาณ 85 เซนต์

  • Pantheon (วิหารแพนธีออน) 15 นาทีจากโรมันฟอรั่ม หรือรถบัสสาย 64 ลงที่ป้าย Largo Argentina สร้างขึ้นก่อนคริสต์ศักราช 27 ปี เป็นต้นแบบของการสร้างโดมให้กับศิลปินยุคต่อมา เปิดทุกวันไม่เสียค่าเข้าชม
  • Piazza Navona (เปียซซา นาโวนา) รถบัสสาย 64 จากแตร์มินี่ และสาย 84 จากโคลอสเซียม และสาย 116 อยู่ใกล้กับวิหารแพนธีออน มีร้านคาเฟ่ขายอาหาร และไอศกรีม พร้อมน้ำพุสวยๆ ที่สร้างโดย จิอาน ลอเรนโซ
  • Colosseum (โคลอสเซียม) & Roman Forum ตั้งอยู่สถานนีรถไฟใต้ดิน Colosseum ค่าเข้าชม 11 ยูโร สร้างขึ้นเมือ ค.ศ. 72 ใช้แรงงานนักโทษกว่า 12,000 คน สร้างโดยการเรียงหินขึ้นจากแต่ละด้านบนตรงกลางเป็นก้อนสุดท้าย สามารถจุผู้ชมได้กว่า 50,000 คน สร้างขึ้นสำหรับการต่อสู้ของกลาดิเอเตอร์ การต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์
  • The Spanish Step, Trevi Fountain, Villa Borghese & Via Condotti
    · Scalinata di Spagna (บันไดเสปน) สถานนีรถไฟใต้ดิน Spagna ไม่เสียค่าเข้าชม เป็นบันไดที่เชื่อมระหว่าง Piazza di Spagna & Piazza Trinit dei Monti เป็นบันไดที่กว้างและยาวที่สุดในยุโรปมีทั้งหมด 138 ขั้น ตั้งอยู่ตรงถนน Via Condotti สายชอปปิ้ง
    o The Spanish Steps บันไดเสปนเป็นศิปะโรโกโก เดือนพคเป็นดือนที่งดงามด้วยดอกอะแซเลียส ผู้ออกแบบบันไดนี้ คือ ฟรันเชสโก เด ซันตีส ในปี 1723-1726 สร้างถวายแก่พรเจ้าหลุยส์ที่ 15 มีโบสถ์รูปทรงนาฬิกาทราย ด้านบนบันได ประดับด้วยน้ำพุฝีมือของเบร์นีนี บาร์กัชเชีย
    o Fontana di Trevi (น้ำพุเทรวี่) สถานที่รถไฟใต้ดิน Barberini สร้างขึ้นที่ปลายท่อส่งน้ำ Acqua Vergine เป็นที่ตั้งของถนน 3 สาย Tre Vie จึงกลายเป็นชื่อของน้ำพุ ตามธรรมเนียมให้ใช้มือขาวโยนเหรียญข้ามบ่าซ้ายเพื่อให้มีโอกาสกลับมาที่โรมอีก ในภาพยนตร์เรื่อง La Dolce Vita; Three Coins in a Fountain นางเอกของเรื่องให้ยืนหัวหลังให้น้ำพุ และโยนเหรียญ ด้านขวามีศิลปะภาพนูนของสาวพรหมจารีผู้ค้นพบน้ำพุธรรมชาตินี้
    o Villa Borghese เป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดของกรุงโรม ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,700 ไร่ มีประติมากรรม น้ำพุ หมู่ไม้ ทางเดินปะรำ และนาฬิกาน้ำ และพิพิธภัณฑ์ระดับโลกอีก 3 แห่ง
    o Via Condotti เป็นถนนสายช้อปปิ้งหลักของโรม เปรียบเสมือน Fifth Avenue มีร้านค้าและเสื้อผ้าบูติกยี่ห้อดังหลายแห่ง
    · Trastevere (ตราสเตเวเร) หมายถึงอีกฝากหนึ่งของแม่น้ำไทเบอร์
    o Santa Maria in Trastevere เชื่อว่าเป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์ที่โรม
  • แหล่งชอปปิ้ง
    · Versace, Gucci, Prada, Furla, Benetton, Sisley, Corso Como, Emporio Armani, Ferragamo
    · Sephora (Cosmetic Shop) 1. Sephora Roma Termini C.C. Grandi Stazioni 1interrato P.zza dei Cinquecento id.23 00185 ROMA (RM) Tel: (39) 06.47823.445 Monday - Sunday 8h - 22h and 2. Carmen Roma C.C. La Romanina Via E. Ferri 00173 ROMA (RM) Tel: (39) 06.72672.976 Monday 10h - 21h/ Tuesday - Saturday 9h - 21h Sunday 10h - 20h30
    · Rinascente เป็นห้างสรรพสินค้า
  • การขอคืนภาษี
    · ภาษีมูลค่าเพิ่มของอิตาลี (IVA) สามารถขอคืนได้หากซื้อสินค้าเกิน 155 Euro เฉพาะนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่เชื้อชาติยุโรป โดยขอให้ร้านค้ากรอกแบบฟอร์ม แล้วนำแบบฟอร์มพร้อมใบเสร็จรับเงินไปที่ด่านสนามบิน (ตรวจอัตราภาษีของอิตาลี) และสินค้าต้องยังใหม่ ห้ามใช้ก่อนค่ะ
  • Naples:
    · เนเปิลส์อยู่ในแคว้นกัมปาเนีย (Campania – http://www.regione.campania.it%20หรือ http://www.turismoregionecampania.it/) website ของ เนเปิลส์ http://www.comune.napoli.it/
    · Naples หรือ Napoli อยู่ใกล้กับภูเขาไฟเวสุวิโอ (Monte Vesuvio) ที่เคยปะทุเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล จนเถ้าภูเขาไฟไหลลงมาฝังทุกอย่างในเมืองปอมเปอี เนเปิลส์เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของอิตาลี และเป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์งดงาม แต่ปัจจุบันประชาชนที่อาศัยในเนเปิลส์มีปัญหาเรื่องการหยุดงาน และการทำงานผิดกฎหมาย จึงต้องระมัดระวังในเรื่องการชกชิงวิ่งราว
  • Pompeii:
    · ปอมเปอีเป็นเมืองที่ถูกภูเขาไฟเวสุวิโอถล่มทับด้วยเถ้าลาวา เมื่อมีการค้นพบในปี คศ 1748 ภายหลังจากที่ถูกฝังมากว่า 2,000 ปี จึงทำให้เห็นภาพที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ได้พบศิลปวัตถุ ภาพเขียน และโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังพบซากศพของชาวเมืองปอมเปอีที่ถูกลาวาครอบคลุ่มในอากับกิริยาที่เป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิต
    · ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.pompeiisites.org/
  • Sorrento:
    · ซอเรนโตอยู่ปลายสุดของอ่าวเนเปิลส์ โด่งดังจากเพลง “Come Back to Sorrento” ทำให้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา ชื่อเมืองซอเรนโตมาจากหน้าผาหินชันที่เรียกว่า Sorrento ปัจจุบันมีที่พักชั้นดีเยอะแยะ และมีฝั่งที่มีชื่อ Amalfi บนเส้นทางเลียบริมทะเลไปตามหน้าผายาวว่า 50 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดเส้นหนึ่งในยุโรป
    · ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sorrentotourism.com/

  • Capri & Blue Grotto
    · เกาะคาปรีตั้งอยู่ห่างจากซอเรนโตประมาณ 5 กิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นเกาะแห่งความสำราญ มีอากาศเย็นสบายทั้งปี มีชื่อเสียงจากความงดงามของ “Blue Grotto” ถ้ำสีฟ้า
    · ชายฝั่งของเกาะคาปรีนั้นมีถ้ำกว่า 10 แห่ง และ Blue Grotto ถูกค้นพบปี 1826 มีทางเข้าแคบๆ สูงจากระดับผิวน้ำเพียงเมตรเศษๆ แต่เมื่อเข้าไปข้างในจะกว้าง ขนาด 45 เมตร ยาว 54 เมตร และสูง 15 เมตร มีแสงสว่างทำให้ถ้ำเป็นสีฟ้ากระจ่างใส
    · ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.capritourism.com/ or http://www.capri.it/

  • Pisa
    · เมืองปิซ่าตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฟลอเรนซ์ เป็นแปล่งการค้านางน้ำที่สำคัญในอดีต เคยเป็นคู่แข่งกับเจนัว และเวนิส แต่ตะกอนจากแม่น้ำอาร์โนมารวมกันทำให้ที่ปากน้ำกลายเป็นสันดอนดีดขวางการเดินเรือทำให้หมดความสำคัญทางการค้าไป จนมาในปี ค.ศ. 1173 มีการสร้างหอระฆังคัมปานิเล สูง 165 ฟุตซึ่งกลายเป็นหอเอียง ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังอีกครั้ง และกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางไป
    o หอเอนปิซ่าตั้งเอนออกมาจากตำแหน่งตั้งฉาก 4.5 เมตร ปัญหาเกิดจากหินอ่อนสูง 55 ม. ตั้งซ้อนบนดินทรายที่น้ำพัด

  • Florence
    · ฟลอเรนซ์เป็นเมืองหลวงของทัสคานี (Tuscany) แปลว่า ความอุดมสมบูรณ์ (Florentia) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอาร์โน เป็นแหล่งกำเนิดศิลปะยุคเรอเสนซองส์ ด้วยการสนับสนุนาของตระกูลเมดิซี่ เป็นตระกูลที่อยู่คู่กับฟลอเรนซ์ เข้ามาตั้งถิ่นฐานในปี 1397 และเริ่มแผ่ขยายอำนาจจนสถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกครองฟลอเรนซ์
    การเดินทางมาที่ฟลอเรนซ์
    · ทางเครื่องบิน โดยลงที่สนามบิน Amerigo Vespucci ที่ตั้งอยู่เหนือฟลอเรนซ์ประมาณ 5 กิโล
    · ทางรถไฟ จากโรมให้นั่งรถไฟยูโรสตาร์ดิตาเลีย (Eurostar Italia) มาลงที่สถานีมาเรีย โนเวลลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.40 ชั่วโมง
    การเดินทางภายในฟลอเรนซ์
    · การเดินทางด้วยเท้าสะดวกสบายที่สุด ในฟลอเรนซ์ไม่มีรถไฟใต้ดิน มีรถประจำทาง และรถชมเมือง 2 ชั้น

    แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
    · The Duomo Group, Florence วิหารประจำเมืองฟลอเรนซ์ จุดเด่น คือ โดมดูโอโม ประตูสวรรค์ในหอพิธีเจิมน้ำมนต์ Piata และอื่นๆมากมาย
    · Santa Maria del Fiore โบสถ์หินอ่อน 3 สี (สีขาว จากเมืองคาร์ราร่า สีชมพูจากเซียน่า และ สีเขียว จากปราโด) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของอิตาลี รองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เป็นวิหารประจำเมือง และใช้เวลาสร้างประมาณ 165 ปี เพดานข้างใต้โดมเป็นภาพ The Last Judgement ซึ่งใช้เวลากว่า 7 ปีในการวาด
    · Piazza della Signoria (เปียซซา เดลลา ซินญอเรีย) เป็นลานกลางเมืองที่ใช้ในหลายวัตถุประสงค์ ตั้งแต่การประชุม การรวมพล หรือลานประหาร ด้านข้างของลานเป็นเวทีหลังคาโค้ง ที่สร้างขึ้นสำหรับพิธีทางศาสนา หรือการแสดงรูปประติมากรรม ควรหยุดชมน้ำพุรูปเนปจูนที่สลักด้วยหินอ่อนคาร์เรรา
    · Palazzo Vecchio เดิมเป็นวัง แต่ปัจจุบันเป็นที่ว่าการเมือง ซึ่งเป็นที่ทำงานของผู้ว่าการรัฐ
    · Pointe Vecchino สะพานเวคิโอที่ข้ามแม่น้ำ Arno ที่สร้างขึ้นสมัยศตวรรษที่ 14 เป็นสะพานมีหลังคาคลุม มีร้านขายของอยู่สองข้างทาง เป็นสะพานที่เหลือรอดจากการระเบิดของฝ่ายเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
    · Uffizi Gallery ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Uffizi เป็นที่รวมผลงานยุคเรอเนซองซ์ แต่เดิมเป็นที่ว่าการของตระกูลเมดีซีผู้ครองเมือง มีผลงานกว่า 1,700 ชิ้น โดย 10 สุดยอดสิ่งที่น่าชม ประกอบด้วย
    o Birth of Venus รูปภาพวีนัสบนเปลือกหอยครึ่งฝาของบอตเชลลี
    o The Annunciation ผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินซี ที่เด่นในเรื่องระยะ และการสร้างภาพลวงตา
    o Holy Family ผลงานของมีเกลันเจโล
    o Maesta ผลงานของจอตโต พระแม่มารีจะมีรูปร่างใหญ่หนา การจัดวางคนที่อยู่บนพื้นทำให้เกินความลึกในภาพ
    o Bacchus ผลงานของการาวัจโจ
    o Primavera ไม่มีใครรู้ความหมายของรูปภาพ เป็นผลงานที่มาพร้อมกับ Birth of Venus ของบอลเชลลี
    o Frederico di Montefeltro and Battista Sforza
    o Venus of Urbino อิทธิพลการวาดภาพเปลือย
    o Madonna of the Long Neck
    o Battle of San Romano ภาพทัศนมิติ
    · Galleria dell’ Accademia เป็นที่ตั้งของ David ที่มิเคลันเจโลปั้นไว้ ในห้องจะเห็นเดวิดยืนเด่นให้เดินชม พร้อมมีคอมพิวเตอร์แสดงภาพสามมิติ ที่ดูได้จากทุกมุม
    o ในวัย 26 ปี มีเกลันเจโลได้หินอ่อนที่เรียกว่า “ยักษ์ใหญ่” และมาเปลี่ยนเป็นรูปปั้น David (1501-1504) ซึ่งเป็นชายหนุ่มผู้คร่ำเคร่งกับงาน
    · San Lorenzo Market ตลาดกลางแจ้ง ขายเครื่องหนัง สินค้าแฟชั่น และกระดาษลายหินอ่อน
    o Enoteca Alessi ไวน์ของร้านที่ดีที่สุดในเมือง

  • Verona
    · เวโรน่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของแคว้นเวเนโต ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในอิตาลี คนรู้จักเวโรน่าจากบทละคร โรมิโอกับจูเลียต ของ วิลเลียม เชกสเปียร์ ที่ใช้เรื่องราวความขัดแจ้งของตระกูลขุนนางสองตระกูลในเมืองนี้มาสร้างเป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว
    o บ้านจูเลียต (Casa di Giulietta or Juliet’s House) คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าบ้านหลังหนึ่งบนถนนเวีย คัปเปลโลเป็นบ้านของจูเลียต และเชื่อว่าระเบียงเล็กๆที่ชั้น 2 คือระเบียงที่จูเลียตยืนพลอดรักกับโรมิโอ หลังบ้านจะมีรูปจูเลียตหล่อด้วยบรอนซ์ตั้งอยู่ หากหญิงชายคนใดเอามือไปแตะตรงหัวใจก็จะโชคดีเรื่องความรัก

  • Venice
    · เวนิซ หรือเวเนเซีย ตั้งอยูริมฝั่งทะเลอะเดรียติก มีพื้นที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยน้ำ มีคลองคานาเล่ กรันเด หรือแกรนด์คาแนล ไหลผ่านกลาง เวนิซเคยเป็นเมืองท่าที่ใช้ค้าขายกับยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย เดิมเวนิซเป็นรัฐอิสระ และเพิ่งมารวมกับอิตาลีในปีคศ 1860 กว่านี้เอง บุคคลที่มีชื่อเสียงของเวนิซ คือ มาร์โคโปโล นักเดินทางที่เดินทางไปเมืองจีน โดยใช้เวลากว่า 20 ปีในการเดินทาง
    · เวนิสมีเกาะเล็กเกาะน้อยกว่า 117 เกาะ มีคลอง 150 คลอง มีสะพานข้ามคลอง 409 สะพาน

    การเดินทางมาที่เวนิส และการเดินทางภายในเวนิส
    · ทางรถไฟ จากโรมให้นั่งรถไฟยูโรสตาร์ดิตาเลีย (Eurostar Italia) มาลงที่สถานีมาเรีย โนเวลลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.40 ชั่วโมง
    · ทางรถยนต์สามารถขับรถข้ามทะเลสาบเข้ามาตัวเวนิซได้ แต่ต้องจอดรถไว้ที่จอดรถเปียซซาเล่ โรมา (Rome Square) จากนั้นจึงใช้เรือโดยสารเป็นยานพาหนะเดินทางในเวนิซต่อไป
    · บัตรเวนิส (Venice Card: Carta Venezia) ช่วยประหยัดเงินได้ มี 2 บัตร
    o สีน้ำเงินสำหรับบริการขนส่งมวลชน และห้องน้ำ ราคา 3, 7 วัน
    o สีส้ม จะรวมค่าเข้าพิพิธภัณฑ์เพิ่มเข้าไป
    สถานที่สำคัญในเวนิส
    · สามารถนั่งเรือโดยสร (วาปอเรตโต) สายที่ 1 เริ่มจากสถานีรถไฟไปยังสถานนีสำคัญๆต่างๆ รวมถือ เปียซซ่า ซานมาร์โค สะพานรีอัลโต และสุดที่โบสถ์ซานตามาเรีย เดลลา ซาลูเต้
    · เปียซซ่า ซานมาร์โค (Piazza San Marco หรือ St.Mark’s Square) เป็นจัตุรัสกลางเมืองเวนิซ มีโบสถ์ซานมาร์โค หรือเซนต์มาร์ก เป็นจุดเด่นของลานกว้าง
    o ท่าเรือซานมาร์โค จะมีเสาสูง 2 ต้นอยู่ริมน้ำ เป็นเสาที่นำมาจากเมืองคอนสแตนติโนเปิลในศตวรรษที่ 12 บนยอดเสาเป็นรูปสิงโตมีปีกแห่งเซนต์มาร์ก และยอดเสาอีกต้นเป็นนักบุญธีโอดอร์กับมังกร ซึ่งเสาทั้งสองต้นนี้เป็นสัญบักษณ์ของเมืองเวนิซ
    o การเดินทาง: สามารถมาได้ทางเรือโดยสาร และการเดินเท้า
    · โบสถ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco or St.Mark) เป็นโบสถ์ที่สำคัญที่สุดในเวนิซ สถาปัตยกรรมหลายสมัยตั้งแต่ไบแซนไทน์จนถึงเรอเนสซองส์ ได้รับชื่อ St. Mark มาจากศพของนักบุญมาร์ก ที่ขโมยมาจากเมืองอเล็กซานเดรียของอียิปต์ ด้านหน้ามีภาพเรื่องราวทางศาสนา และภายในเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมโมเสกสีทอง (http://www.basilicasanmarco.it/)
    o St.Mark คือ นักบุญ เป็นหนึ่งในสี่อัครสาวกผู้เขียนประวัติพระเยซูในคัมภีร์ไบเบิลใหม่ เป็นนักบุญอุปถัมภ์เมืองเวนิส
    · ปาลาซโซ ดูคาเล (Palazzo Ducale หรือ Doge Palace) วังดอจของดยุกผู้ครองเมืองเวนิซ สร้างในศตวรรษที่ 9 ท้องพระโรงประดับด้วยทองคำและภาพจิตรกรรม “The Paradise” ของตินโตเรตโตที่เป็นภาพสีน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก (22x7 เมตร)
    · Bridge of Sighs หรือสะพานถอนหายใจ ซึ่งเป็นสะดานข้ามคลองไปยังคุก ซึ่งเรียกตามอากัปกริยาของนักโทษที่เดินออกจากห้องพิพากษาไปเข้าคุก
    · สะพานรีอัลโต (Ponte di Rialto หรือ Rialto Bridge) เป็น 1 ใน 3 สะพานที่ข้ามแกรนด์คาแนลของเวนิซ เป็นสะพานที่สวยงามและเป็นย่านการค้าเก่าแก่ของเมือง สร้างเมื่อ 1588-1591 ยาว 48 เมตร กว้าง 22 เมตร
    · มูราโน (Murano) มีชื่อเสียงเป็นแหล่งผลติเครื่องแก้ที่งดงาม http://www.lisoladelmurano.it/
    · บูราโน (Burano) มีชื่อเสียงในการทำผ้าลูกไม้ หมูบ้านมักทาสีสันสวยงามสะดุดตา http://www.isoladiburano.it/
    · ลิโด้ (Lido) เป็นสถานที่พักตากอากาศยอดนิยมของสังคมชั้นสูงของยุโรป ปัจจุบันมีโรงแรมและคาสิโน และเป็นที่จัดเทศกาลภาพยนตร์เวนิซเดือนกันยายนทุกปี
    · แกรนด์คาแนล เป็นเส้นทางคมนาคมหลักและเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเวนิซ คลองยาว 3.8 กิโลเมตร กว้าง 30-70 เมตร ลึกเฉลี่ย 6 เมตร ส่วนที่กว้างที่สุดคือช่วงใกล้ปากคลองกว้าง 130 เมตร
    o สะพานข้ามแกรน์คาเนล มี 3 สะพาน คือ สะพานกาลซิ สะพานริอัลโต และสะพานอะคาเดเมีย
    · Gondola เป็นเรือที่ออกแบบพิเศษสำหรับแจวในลำคลองที่คดเคี้ยวและแคบ เรือทั้งหมดถูกกำหนดให้ทาสีดำเพื่อให้ยุติปัญหาการตกแต่งเรือเพื่ออวดความร่ำรวย ค่าโดยสารเรืองแพง จึงมีแต่เฉพาะนักท่องเที่ยวเท่านั้นที่นั่ง คนแจวเรือ เรียกว่า Gondolier กอนโดเลียร์ จะร้องเพลงให้ฟังขณะแจวเรือไปด้วย
    · ทางเครื่องบิน โดยลงที่สนามบิน Amerigo Vespucci ที่ตั้งอยู่เหนือฟลอเรนซ์ประมาณ 5 กิโล
    · ทางรถไฟ จากโรมให้นั่งรถไฟยูโรสตาร์ดิตาเลีย (Eurostar Italia) มาลงที่สถานีมาเรีย โนเวลลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.40 ชั่วโมง
  • อาหารการกิน
    Osteria/ Trattoria/ Ristoranti แปลว่าร้านอาหาร และ Pizzeria แปลว่าร้านพิซซ่า ลำดับการทานและสั่งอาหาร Antipasto (ของว่าง) Primo (อาหารจานแป้ง) Secondo (อาหารจานเนื้อ) Contorni (ผัก หรือ ซุป) และสุดท้ายคือ Dolce (อาหารหวาน)
  • สำหรับนักท่องเที่ยว หากต้องการความสะดวกสบาย แนะนำร้านอาหารแบบ Self Service ที่มีราคาถูกกว่าเพราะไม่ต้องมีคนเสริฟ์ และเลือกอาหารได้ตามที่ต้องการ ใช้เวลาไม่มาก และรสชาติก็อร่อยใช้ได้เลย สำหรับคนไทยที่ต้องการรสจัดจ้านแนะนำให้แอบพกซอสมะเขือเทศซองไปด้วย อาหารอิตาลีจริงๆ รสไม่จัดเท่าที่เมืองไทย แถมหากขอซอสมะเขือเทศ ยังมีการคิดเงินอีก
    น้ำดื่มราคาค่อนข้างสูง 1-3 ยูโร โดยเฉพาะหากอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว แนะนำให้ขอเติมจากโรงแรมตอนอาหารเช้าจะดีกว่าประหยัดกว่ามาก สำหรับน้ำอัดลมราคาประมาณ 3 ยูโร รสชาติไม่หวานและซ่าเท่าบ้านเรา แต่ก็ทำให้ไม่ปวดท้องเท่าไหร่
  • อาหารเช้าจะเป็นมื้อเบาๆ อาหารกลางวันเรียกว่า Pranzo แนะนำให้นักท่องเที่ยวเลือกโรงแรมที่มีอาหารเข้าบริการ หรือรวม ABF ด้วยเนื่องจากรอบทานอาหารคนอิตาลีแตกต่างจากบ้านเรา คนอิตาลีมักทานอาหารกลางวันช่วงบ่าย 2-4 และอาหารเย็นประมาณ 2 ถึง 4 ทุ่ม ทำให้อาหารเช้าของคนอิตาลีมักเป็นแบบเบาๆ พวกเราเดินหาอาหารเช้าดีๆ แบบ American Breakfast ทั้งโรมยังไม่สามารถหาได้ McDonald ก็เปิดบริการ 10:00 เช้าเป็นต้นไป
  • Gelato (ไอศกรีม) ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดในโลก การสั่งไอศกรีมให้จ่ายเงินก่อนที่แคชเชียร์ และนำใบเสร็จมารับไอศกรีม ถ้าต้องการใส่โคนให้บอกว่า “โคโน (cono)” หรือถ้าใส่ถ้วยให้บอกว่า “คอปปา (coppa)” ราคาประมาณ 1 – 4 ยูโร หากต้องการเลือกหลายรสชาดก็จ่ายแพงขึ้นไปอีก
    ทิรามิสุ ของหวานอินาเลียนอีกอย่างที่ขึ้นชื่อ

  • บุคคลสำคัญของอิตาลี
    Archimedes ค้นพบหลักการของปริมาตรน้ำ
    Leonardo da Vinci นักวิทยาศาสตร์และศิลปินเอกแห่งยุค
    Galileo Galilei นักดาราศาสตร์ที่ประกาศว่าโลกกลมและโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
    Marco Polo นักเดินทางชาวเวนิช เกิดและโตที่เวนิส เป็นชาวยุโรปชุดแรกๆที่เดินทางข้ามทวีปเอเชียตามเส้นทางสายไหม
    Christopher Columbus นักเดินเรือชาวเจนัวผู้ค้นพบทวีปอเมริกา
    Michealangelo
    Bettulicia


  • ศิลปะอิตาลี
    ศิลปะแบบกรีก พวกกรีกเป็นชนเผ่ายูโรเปียน เรียกตัวเองว่า “เฮเลนิส” กรีกเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมตะวันตก เน้นการสร้างศิลปะที่เหมือนจริง นิยมการถ่ายทองรูปเทพเจ้าที่ตนนับถือโดยใช้เรือนร่างของมนุษย์เป็นสื่อแทน งานประติมากรรมส่วนใหญ่เป็นแบบลอยตัว นิยมสร้างด้วยหินอ่อน อาทิเช่น วิหาร สนามกีฬา และโรงละคร มักสร้างหัวเสาอยู่ 3 แบบ คือ Doric, Ionic & Corinthian ศิลปะกรีก เป็นที่แพร่หลายมาจากการขยายอำนาจของ Alexander the Great ที่นำกำลังบุกยึกยุโรป เอเชีย และแอฟริกา
    ศิลปะแบบโรมัน ชาวโรมันมาตั้งรกรากอยู่ที่เนินเขาลุ่มแม่น้ำไทเบอร์ ใช้ภาษาลาตินเป็นหลัก ก่อตั้งโรมเมือจักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์ แห่งราชวาศ์จูเลี่ยน ขึ้นครองราชย์ สถาปัตยกรรมแบบโรมันพัฒนาเป็นอย่างมากเมื่อมีการค้นพบ “คอนกรีต” ทำให้มีการสร้างโดม หัวเสาโรมันมี 5 แบบ โดย 3 แบบแรกเป็นของกรีก และอีก 2 แบบเป็นของโรมัน สถาปัตยกรรมที่เด่นๆ คือ โรงอาบน้ำสาธารณะ และท่อลำเลียงน้ำ
    ศิลปะแบบคริสเตียน และไบแซนไทน์ แบบคริสเตียนรับอิทธิพลมาจากโรมัน และไบแซนไทน์นั้นได้รับมาจากแขก ซึ่งเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์คือที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล หรืออิสตัลบูลในปัจจุบัน โบสถ์ซานมาร์โก้ และวังโดจด์กลางเมืองเวนิชเป็นจุดที่ชมศิลปะไบแซนไทน์ได้อย่างดี
    ศิลปะเรอเนสซองส์ หรือ “ยุดฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ” เป็นการื้อฟื้นศิลปะกรีก และโรมันขึ้นมาอีกครั้ง
    ภาพเฟรสโก
    ภาพเฟรสโกโบราณ: เชื่อกันว่าเกิดครั้งแรกที่เกาะครีต ประเทศกรีซ เป็นรูปกีฬาสู้วัวกระทิง ทำจากผงสีเหลือง สีแดงที่ได้จากออกไซด์ของแร่ธาตุมาผสมกัน
    ภาพเฟรสโกแบบอิตาเลียน: เกิดจากฝีมือของศิลปินชาวฟลอเรนซ์ ชื่อ Giotto and Masaccio โดยใช้สีผสมกับน้ำและวาดลงบนผนังปูน หรือเพดานปูนที่ยังหมายๆอยู่

  • ประโยคสำคัญ
    Misscusi ขอโทษนะค่ะ เหมือน Excuse me (Mis-sa-cou-si)
    Gracia ขอบคุณค่ะ (Gra-cis)
    Bonjourne สวัสดีตอนเช้า
    Bonasera สวัสดีตอนเย็น
    Quanto เท่าไหร่

วิซ่าอิตาลี

VISA
- ควรโทรนัดจองคิวในการขอยื่นวีซ่าก่อนเดินทางประมาณ 2 เดือนเป็นอย่างน้อยหากไม่ได้ไปกับทัวร์ไทย
Download คำร้องได้ที่ www.ambbangkok.esteri.it

- สถานทูตอยู่ที่ถนนนางลิ้นจี่ ตรงข้ามตึกเจเพรส (ไม่มีที่จอดรถ) เปิดทำการวันจันทร์ อังคาร และศุกร์ 9:00
– 12:00 และ วันพฤหัสบดี เปิดเวลา 12:00 - 14:00 ปิดทุกวันพุธ โทร 02-285-4090-3

- ค่าวีซ่า 2,880 บาทสำหรับระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน

- ต้องโทรไปนัดที่หมายเลข call center 1900-222-344 นาทีละ 9 บาทกด 0 ก่อนและเตรียมเอกสาร
ไปให้พร้อม

เอกสารที่ต้องใช้
- แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่าที่กรอกข้อความครบถ้วน
- รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 ใบ (พื้นหลังเป็นสีสว่าง หรือขาวเท่านั้น)
- หนังสือเดินทางอายุอย่างน้อย 90วัน
- จดหมายรับรองการทำงาน ระบุตำแหน่ง วันที่เข้างาน เงินเดือน และช่วงระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ลาพัก
ร้อน
- สำเนายอดบัญชีในธนาคารที่แสดงความเคลื่อนไหว 4 เดือน
- สำเนาการจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ
- เอกสารรับรองการจองที่พัก
- กรมธรรม์การเดินทางวงเงิน 30,000 ยูโร (1.5 ล้านบาท) ครอบคลุมเวลาที่อยู่ในอิตาลี

Day 1: โรม ช้อปปิ้ง

เราได้ดู Roman Holiday ที่แสดงโดยออเดรย์ แฮปเปิ้น และนึกถึงตอนที่ได้มีโอกาสไปที่โรม หนังเรื่องนี้สร้างมาหลายสิบปี แต่สถานที่ต่างๆ ยังเหมือนเดิม คงเหมือนกับที่หลายคนพูดไว้ว่าโรมนั้นเป็น Eternal City (นครอมตะ)

โรม (Rome) เมืองหลวงของอิตาลี สร้างขึ้นเมื่อ 753 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่ในแคว้นลาซิโอ (Lacio) มีแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber) ไหลผ่าน แยกโรมเป็น 2 ส่วน ฝั่งซ้ายเป็นนครวาติกัน เมืองหลวงของศาสนาคริสตนิกายโรมันคาทอลิก และฝั่งขวาเป็นโรมเมืองหลวงที่ได้ชื่อว่า Eternal City

ตามตำนานเล่าว่า โรมิวลุส (Romulus) เป็นผู้ก่อตั้งโรม โดยมีฝาแฝด ชื่อเรมุส (Remus) ที่ถูกใส่ในตระกร้าลอยน้ำมาตอนเด็ก จนแม่สุนัขหมาป่าเก็บมาเลี้ยงดู โตขึ้นมาเกิดทะเลาะกันจนโรมิวลุส ฆ่าเรมุสตาย จากความเชื่อนี้ทำให้เราเห็นสัญลักษณ์แม่หมาป่ามีลูก 2 คนดูดนมในที่ต่างๆ ของโรม



พวกเราเดินทางมาถึงสนามบินฟูมิชิโอ (Fiumicino หรือ Leonardo da Vinci Airport) ที่เป็นสนามบินหลักของโรมตอนบ่ายๆ ตัดสินใจเลือกแท็กซี่เข้าโรม เพราะมีกระเป๋าสัมภาระเยอะ เราใช้บริหารแท็กซี่ป้ายขาวที่มี Auto Meter ที่จอดเรียงอยู่ด้านนอกแอร์พอร์ต ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที และค่าใช้จ่ายประมาณ 60 ยูโร (นอกจากรถแท็กซี่ สามารถเดินทางเข้าโรมได้ด้วยรถไฟสาย Leonardo Express ให้บริการทุก :05 และ :35 ของทุกชั่วโมง ราคา 11 ยูโรต่อเที่ยว)




เราเลือกที่พักอยู่ใจกลางย่านถนนช็อปปิ้ง Via Condotti (Via แปลว่าถนน ใช้นำหน้าชื่อถนนต่างๆ) โรงแรมของเราชื่อ The Inn at The Spanish Steps ที่ห่างจาก Spanish Steps (Piazza di Spagna) แค่ 10 ก้าว และอยู่เหนือ Prada Shop ตรงข้ามกับ Gucci Shop และแบรนด์เนมต่างๆอีกมากมาย ร้านอาหารก็หาได้ง่าย แต่ราคาอาจแพงหน่อยเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวThe Inn at The Spanish Step เป็นหนึ่งในโรงแรม Small Luxury Hotels ที่มีบริการเป็นเลิศ แต่ทางขึ้น หรือห้องนอนค่อนข้างเล็ก แถมเก่าๆ แบบสไตล์ยุโรป หากสนใจสามารถจองผ่าน www.booking.com ได้ราคาประมาณ 12,000 บาทต่อคืนหรือผ่านโรงแรมตรงที่ www.atspanishsteps.com












หลังจากเข้าพัก อาบน้ำอาบท่า พวกเราก็รีบเร่งออกมาสำรวจตรวจตรา ร้านรวงแถวๆ ที่พักโรงแรมเรา ที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนช็อปปิ้งอันดับต้นๆของโลก เริ่มจาก Via Condotti เป็นถนนเส้นหลัก ที่เป็นที่ตั้งของ Top Brands อาทิเช่น Louis Vuitton, Tods, Prada, Gucci, Ferragamo, Valentino และอื่นๆอีกมากมาย สำหรับเราสินค้าพวกนี้ก็เหมือนกันทั่วโลก ราคาไม่ต่างกันมาก แต่ที่จะแนะนำคือให้สังเกตการแต่งช็อป และ Window ที่ทำมาแข่งขันกันอย่างเต็มที่ Window ของ Valentino ทำได้สวยจับใจจริงๆ สำหรับสาวก Prada ก็ต้องชอบใจแน่ เพราะมีถึง 2 ตึก แยกหญิง ชายให้ช็อปกันอย่างจุใจ เมื่อเดินไปสุดถนน Via Condotti แนะนำให้ลองเดินไปซอกซอยข้างๆบ้าง ก็จะเจอร้านค้าราคาปานกลางอื่นๆ เช่น Mui Mui, Furla, H&M, Sephora, Benetton, Sisley และอื่นๆมากมายรวมทั้งยี่ห้อท้องถิ่น และห้างสรรพสินค้า La Rinascente มาถึงอิตาลีทั้งทีก็คงต้องซื้อแบรนด์อิตาลีติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง คุณสามีช็อป Hogan รองเท้าชายคุณภาพดี น้องๆ Tods ไป 1 คู่สำหรับวันแรกที่โรม หลังจากซื้อก็ทำคืนภาษีกันที่ร้าน ซึ่งร้านส่วนใหญ่สามารถขอคืนภาษีได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มของอิตาลี (IVA) สามารถขอคืนได้ประมาณ 13% โดยต้องซื้อสินค้าเกิน 155 ยูโรต่อใบเสร็จ แนะนำให้สำเนา Passport ของเราติดตัวไปด้วยเพราะต้องใช้กรอกรายละเอียดให้ถูกต้อง
พวกเราจบการเดินทางในโรมวันแรกด้วยการทานอาหารอิตาเลียนที่ Fiaschetteria ซอยข้างๆ Via Condotti ซึ่งได้รับการแนะนำจากหนังสือ Top 10 Rome ราคาปานกลาง รสชาติดี ผักสด และอร่อยตามแบบฉบับเมดิเตอร์เรเนียน



Day 2: โรม บันไดเสปน น้ำพุเทรวี่ Outlet

เช้าวันใหม่เราเริ่มต้นสำรวจโรมด้วยการเดินเท้าตั่งแต่ 7 โมงเข้า ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงดูแผนที่ที่ขอจากโรงแรม พวกเราก็สามารถเยี่ยมชมโรมบางส่วนได้ภายในครึ่งวันเช้า จากโรงแรมเราออกแต่เช้าไปที่ Spanish Steps ซึ่งยังร้างผู้คนอยู่ และถ่ายรูปกันให้หน่ำใจ Spanish Steps หรือบันไดเสปน เป็นบันไดที่กว้างและยาวที่สุดในยุโรป มีทั้งหมด 138 ขั้น ตั้งอยู่ตรงข้าม Via Condotti บันไดเสปนนี้สร้างด้วยศิลปะโรโกโก เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่งดงามที่สุด เพราะมีดอกอะแซเลียสตกแต่งตามขั้นบันได (โชคดีที่เราได้มีโอกาสไปช่วงนี้พอดี) ตามประวัติ เป็นบันไดที่สร้างถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 มีน้ำพุฝีมือแบร์นินี บาร์กัชเชียอยู่ด้านหน้า











ขอแนะนำให้มาตอนเช้า ที่คนยังน้อย เพราะตอนสายๆ คนจะเยอะมาก ถ่ายรูปไม่สนุก แต่ถ้าไม่มายด์ ก็ถือว่ามาดูผู้คนหนุ่มสาวชาวอิตาลีมาอาบแดดแทนก็ได้ และที่สำคัญควรแวะชิม Gelato (ร้าน Ice Crème) ที่ตั้งอยู่ปลายบันได (ต้องข้ามถนนมาหน่อย) อร่อยมากๆ หาไม่ยาก หากเดินตรงมาจากบันได้ให้มองไปด้านซ้ายมือ จะเห็นผู้คนรุมๆกันอยู่ ราคาประมาณ 2 ยูโร แล้วแต่จำนวนรสชาติที่เลือก



จากนั้นเราเดินตามแผนที่ไป Fontana di Trevi หรือน้ำพุเทรวี่ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จาก Spanish Steps โชคดีมากที่แทบไม่มีผู้คน เลยได้ถ่ายรูปกันเอง 2 คนอีกเช่นเคย น้ำพุเทรวี่นี้ถูกสร้างขึ้นที่ปลายท่อส่งน้ำของถนน 3 สาย จึงกลายเป็นชื่อของน้ำพุ เราปฏิบัติตามธรรมเนียมเป๊ะ คือโยนเหรียญข้ามบ่าซ้าย โดยใช้มือขวาเพื่อให้มีโอกาสกลับมาที่โรมอีก ตามนางเอกของหนังเรื่อง La Dolce Vita








จากนั้นเราเดินต่อไปที่วิหาร Pantheon (แพนธีนอน) ถ่ายรูปแต่ด้านนอก ไม่อยากเข้าด้านใน ให้เหตุผลตัวเองว่า เพราะเราเคยเห็น Pantheon ที่กรีซมาแล้วและคิดว่าน่าจะคล้ายกัน (อาจจะผิดก็ได้นะ) เลยเดินต่อไปที่ Piazza Navona (เปียซซา นาโวนา) ที่เป็นลานกว้าง มีน้ำพุของจิอาน ลอเรนโซ และล้อมรอบไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ต่างๆ โชคดีที่วันนั้นท้องฟ้าสวยมาก เราเลยได้รูปสวยๆมากฝากทุกคน














จาก Piazza Navona เราเดินต่อไปที่ Campo de Fiori หรือสวนดอกไม้ของโรม ขอบอกว่าผิดหวังอย่างแรง เพราะคาดหวังว่าจะได้เห็นเหมือนปากคลองตลาด แต่เอาเข้าจริงเป็นเพียงตลาดสด มีขายทั้งของสด ผลไม้ และดอกไม้ เอาน่า … มาถึงแล้วก็แวะซื้อผลไม้สดๆติดไม้ติดมือไปบ้าง และเดินเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ แบบไร้ทิศทาง จนมาถึงแม่น้ำไทเบอร์ วิวสวย โรแมนติกจับใจจริงๆ หยุดแวะถ่ายรูปที่สะพานต่างๆ พร้อมรูปปั้นตามหัวและตัวสะพานตามภาพที่เห็น
















เนื่องจากเรายังมีเวลาที่โรมอีก เลยขอหยุดการสำรวจไว้แค่นี้ก่อน และกลับไปที่โรงแรมของเรา เพื่อไปช็อปต่อที่ Castel Romano Designer Outlet ที่อยู่ห่างโรมไปประมาณ 30 นาที (สามารถจองรถได้ที่ Reception ของโรงแรม ราคา 25 ยูโรต่อคน) Castel Romano มีร้านรวงรวมแล้วประมาณ 100 ร้านค้า ตั่งแต่ Designer labels ไปจนถึงแบรนด์ท้องถิ่น อาทิเช่น Valentino, Burberry, Etro, Feragamo, Dolce & Gabbana และอื่นๆอีกหลายยี่ห้อ โดยส่วนตัว ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ เพราะไม่มีแบรนด์ที่ชอบใจ แต่เมื่อมาทั้งที และหากมีเวลาก็เป็นอีกที่ๆ น่าช็อป สามารถศึกษาข้อมูลได้ก่อนตัดสินใจที่ www.mcarthurglen.it/castelromano/home








คืนนั้นค่อนข้างเหนื่อยกันทั้งสองคน เพราะตื่นเช้า และยังปรับเวลาไม่ค่อยได้ เลยตัดสินใจฝากท้องที่ Mcdonal ทานเป็นอาหารเย็นที่โรงแรมกัน ไหนๆ พูดถึง Mcdonal จะขอเล่าให้ฟังอีกนิดว่า Mc ที่นี่เปิดสายปิดเร็ว หายากที่จะบริการ 24 ชั่วโมงเหมือนบ้านเรา นอกจากนั้นบาง Mc ยังต้องมีการจัดระเบียบปรับสีโลโก้ เพื่อไม่ให้โดดเด่นกว่าสถาปัตยกรรม ตึกราบ้านช่อง ดังนั้นอาจหายากนิดหน่อย หากต้องการดูสีเหลืองแดงเป็นหลัก