About Me

รูปภาพของฉัน
Bangkok, Thailand
นักเดินทางอิสระ

3/03/2552

มหัศจรรย์ธรรมชาติ ตุรกี

ตุรกี ประเทศสองสัญชาติ 3% ของประเทศอยู่ติดกับยุโรป โดยมีเมืองหลวงอิสตัลบูลเป็นจุดกึ่งกลางแบ่งระหว่างยุโรป และเอเชีย ที่เรียกว่า “อนาโตเลีย” กินพื้นที่กว่า 97% ของประเทศ ตุรกีเป็นประเทศมุสลิม ประชากรกว่า 71% ของประเทศนับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี ปัจจุบันมีข่าวคราวการรบกันระหว่างชายแดนของตุรกีและประเทศแถบตะวันออกกลางอยู่บ่อยๆ แล้วทำไม่เราถึงเลือกไปตุรกีหล่ะ
ทำไม่ถึงไปตุรกี? เพราะเป็นประเทศในฝันของฉันมาตั่งแต่ตอนยังเป็นสาวๆนะสิ ฝันจะไปกับเพื่อนคนนึงซึ่งฝันมานานและยังไม่เคยได้ไปสักที จนเพื่อนมีลูกโตไปแล้ว ฝันว่าสักวันจะได้ไปเห็นปุยเมฆสีขาวที่เราลงไปเล่นน้ำได้ ซึ่งก็ยังไม่เคยรู้ว่าเค้าเรียกกันว่า “ปามุคคเล่” จนวันนี้ที่ทางสายการบิน Turkish Airline ได้โปรโมตประเทศอย่างเป็นทางการ ฉันจึงเลือกกับสามีให้เป็นประเทศที่เราไป Honeymoon กันช่วงปีใหม่ปี 2008
เราเดินทางโดยสายการบิน Turkish Airline ตอนกลางคืน และถึงที่อิสตันบูลตอนเช้าอีกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 – 10 ชั่วโมง สนามบินอิสตันบูลขาเข้า ค่อนข้างเก่า ไม่สะอาดและไม่ทันสมัยเท่าบ้านเรา พวกเรามีเวลาพักกันนิดหน่อยและจึงไปต่อเครื่องภายในประเทศเพื่อไปที่เมืองอิสเมียร์ และนั่งรถต่อไปที่เซลจูค เพื่อดู House of Mary ที่เชื่อกันว่าเป็นบ้านที่พระแม่มารีหนีมาพักอาศัยและสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้


House of Mary

Holy Water

Wishing Wall

ร้านขายถั่วทุกชนิดทุกแบบ

จากนั้นเราเดินทางด้วยรถโค้ชไปที่ “เอฟฟิซุส” เมืองโบราณที่มีการค้นพบ และบำรุงรักษาได้เป็นอย่างดี เชื่อกันว่าเป็นเมืองที่ชาวกรีกโบราณอพยพเข้ามาเพื่อสร้างเมือง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาได้ถูกยึดครองโดยชาวโรมัน ซึ่งในช่วงที่โรมันปกครองนั้น ได้มีการสร้างสิ่งก่อสร้างที่น่ามหัศจรรย์ไว้มากมาย เช่น ถนนหินอ่อนผ่านใจกลางเมือง ห้องน้ำชาวโรมัน โรงละครกลางแจ้งที่จุคนได้มากกว่า 30,000 คน และห้องสมุดโบราณที่ยังคงหลงเหลือด้านหน้าให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป

ถนนหินอ่อนผ่านกลางเมือง มีแมวน้อยแอบอากาศหนาว


ด้านหน้าของห้องสมุดโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่



โรงละครที่จุคนได้มากกว่า 30,000 คน ปัจจุบันยังใช้เล่นคอนเสริต์บ้าง

วันต่อมาเราได้เดินทางไป “ปามุคคาเล่” สถานที่ในฝันของฉัน ช่วงที่เราเดินทางไปเป็นเดือนธันวาคม อากาศหนาวและยิ่งบวกกับลมทำให้ยิ่งหนาวเดินไม่ค่อยสนุก และปามุคคาเล่ก็ไม่สวยอย่างที่ฝันไว้ น้ำไม่ค่อยมี และปุยเมฆสีขาว ซึ่งแท้จริงคือเกลือแร่นั้นไม่ขาวอย่างที่คิด ออกจะกระดำกระด่างหน่อยๆ โชคดีที่ยังมีบางจุดที่เราถ่ายรูปได้บ้าง คุณสามีได้ลองเอาเท้าแช่น้ำพุร้อนซึ่งก็กำลังอุ่นๆพอดี “ปามุคคาเล่” เกิดได้อย่างไร … อันที่จริงปามุคคาเล่เป็นผลจากการไหลของน้ำพุเกลือแร่ และการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาวราวปุยเมฆ ไหลลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ ชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อนดังกล่าวสามารถรักษาโรคได้ ทำให้เขตนี้มีแหล่งน้ำพุร้อนตามที่พัก ซึ่งที่พักของเราคือ Richmond Hotel ก็เป็นอีกโรงแรมที่มีบริการสระว่ายน้ำธรรมชาติ และคุณสามีก็ได้ลองอีกครั้ง ทั้งตัวเลยคราวนี้ ขาดก็แต่น้องผู้หญิงหน้าตาน่ารักมานั่งอาบน้ำให้เท่านั้น ….

ปามุคคาเล่

น้ำพุร้อน




จากนั้นเราได้เดินทางไปต่อที่ Underground Shelter มัคคุเทศก์ท้องถิ่นบอกเราว่า ไม่ควรเรียกว่า Underground City เพราะไม่ได้เป็นเมือง แต่จริงๆแล้วเป็นที่หลบภัยจากการรุกรานของข้าศึก จึงควรเรียกว่า Shelter พวกเราเดินกันลงไปประมาณ 20 นาที ไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณจะสามารถขุดได้ลึกขนาดนี้ บางช่วงเราต้องคลานกันเข้าไป จึงต้องระวังสำหรับผู้สูงอายุ อากาศด้านล่างไม่มากเท่าไหร่ อาจอึดอัดแต่ไม่มากนัก หากกลัวฝุ่นหรือความชื่อควรมีผ้าปิดปากเข้าไปด้วย อุณหภูมิด้านในคงที่ประมาณ 18 องศา ไม่หนาวเหมือนด้านนอก

วันรุ่งขึ้นเราได้เดินทางต่อไปที่เมืองคอนย่า เพื่อผ่านไปที่ “คัปปาโดเกีย” เมืองแห่งเขากรวยหิน ที่องค์การยูเนสโกเก็บให้เป็นเมืองมรดกโลก เขากรวยหินนั้นเกิดจากลาวาภูเขาไฟที่ไหลมาปกคลุมพื้นที่ และเมื่อผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ธรรมชาติก็สร้างให้เกิดเป็นเขากรวยหินที่กลายเป็นแหล่งที่พักของคนโบราณ หรือโบราณสถานไปได้ ฉันกับสามีต้องยอมรับจริงๆว่าสวยและแปลกเหลือเกิน ถูกใจกว่าปามุคคเล่ที่คาดหวังมาซะอีก หากมีโอกาสจะขอเข้าไปพักที่โรงแรมเขากรวยหินนี้สักครั้ง แต่ต้องมาในช่วงหน้าร้อนหน่อยนะ หนาวอย่างนี้คาดว่าจะแข็งตายไปได้





จากนั้นพวกเราเดินทางสู่เมืองเกอเรเม (GOREME) เพื่อชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งซึ่งเป็นศูนย์กลางของ ศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 สร้างขึ้นเพื่อต้องการเผยแพร่ศาสนา เราขอบอกว่าหนาวมาก ไม่ได้มีสมาธิในการดูและฟังคำอธิบายของไกด์เท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีรูปสวยๆมาฝากกันบ้าง


ที่อิสตัลบูลเราไปชม พระราชวังทอปกาปึ (TOPKAPI PALACE) ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ประทับของสุลต่าน แห่งราชวงศ์ออตโตมัน พร้อมทั้งเข้าชมฮาเร็มเขตหวงห้าม ซึ่งในอดีตกาลใช้เป็นที่อยู่ของนางในปัจจุบันพระราชวังทอปกาปึกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ใช้เก็บมหาสมบัติอันล้ำค่าอาทิ เช่น เพชร 96 กะรัต กริชทองประดับมรกต เครื่องลายครามจากจีน หยก มรกต ทับทิม และเครื่องทรงของสุลต่านฯลฯ บ่าย เราเข้าดู ชมสุหร่าสีน้ำเงิน (BLUE MOSQUE) โบสถ์เซนต์โซเฟีย (ST. SOPHIA) ซึ่งเป็นศิลปะแบบไบเซนไทม์ จากนั้นนำเราได้เข้าไปดูพระราชวังโดลมาบาชเช่ (DOLMABAHCE PALACE) ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญอย่างสูงสุดทั้งทางวัฒนธรรมและทางวัตถุของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้แผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง มีศักยภาพทางการทหารทั้งทัพบกและทัพเรืออันเป็นที่ครั่นครามไปทั่วทุกทวีป ตั้งแต่ตอนเหนือของทวีปอัฟริกา ตอนใต้ของอิตาลี และทางด้านยุโรปตะวันออกจรดกรุงเวียนนา พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยสุลต่านอับดุล เมอซิท ในปี ค.ศ. 1843 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 12 ปี เพราะความที่สุลต่านทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ยุโรปอย่างสุดขอบ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ตลอดจนการทหาร ล้วนคัดลอกมาจากตะวันตกทั้งสิ้นรวมทั้งพระราชวังแห่งนี้ ซึ่งออกแบบ โดยสถาปนิกคู่ใจชาวอาเมเนี่ยน ชื่อ บัลยัน เป็นศิลปะผสมผสานของยุโรปและ ตะวันออกที่ได้รับการ ตกแต่งอย่างสวยงามและไม่คำนึงถึงความสิ้นเปลืองใดๆทั้งสิ้น ภายนอกประกอบด้วยสวนไม้ดอกราย ล้อมพระราชวังซึ่งอยู่เหนืออ่าวแล็กๆที่ช่องแคบบอสฟอรัส ภายในประกอบด้วยห้องหับต่างๆและฮาเร็ม ตกแต่งด้วยโคมระย้า บันไดลูกกรง แก้วเจียรไน และโคมไฟมหึมาหนัก 4.5 ตัน นาฬิกาทุกเรือน ของที่นี่จะชี้เวลา 09.05 น. เป็นนิจนิรันดร์เพื่อระลึกถึงเวลาของการจากไปเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 ของ คามาล อาตาเติร์ก (KAMAL ATATURK) วีรบุรุษของชาติผู้บดขยี้กองทัพอังกฤษที่กาลิโปลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1

ก่อนกลับเราได้ไปที่ Spice Market แนะนำว่าให้เดินดูให้รอบๆก่อนอย่าเพิ่งตัดสินใจ ควรหาร้านที่คนท้องถิ่นเข้าไปซื้อกันเยอะๆ เพราะคุณภาพดีกว่า อาจพูดจาสื่อสารไม่เก่งหรือไม่คอยสนใจเราเท่าไหร่ แต่ขอให้อดทดไว้ เพราะคุณจะได้ของที่ดี และมีคุณภาพกว่าร้านที่ไกด์คนไทยแนะนำแน่ๆ นอกจากนี้แล้วไม่ควรซื้อ Turkish Delight ในวันแรกๆที่รถทัวร์หยุดใด้ช้อป เพราะคุณภาพไม่ดีเท่าที่ Spice Market นอกจากถั่วพิถาชิโอแล้ว ควรลอง Hazelnut และถ้าจะซื้อ Turkish Delight ให้ขอชิมก่อนทุดครั้ง

ท้ายสุดนี้สิ่งที่เราประทับใจที่สุดในตุรกี คือ มหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ก่อให้เกิด “ปามุคคาเล่” และ “คัปปาโดเกีย” เป็นสิ่งก่อสร้างทางธรรมชาติที่แปลกและทำให้ตุรกีแตกต่างจากประเทศต่างๆเหลือเกิน
วันสุดท้ายหนาว -7 หิมะตกเลยหล่ะ

Blue Mosque
ข้อควรระวัง: เนื่องจากเป็นทริปที่เดินเยอะ จึงขอแนะนำให้ใส่รองเท้าสบายๆ และที่สำคัญอย่าไปหน้าหนาว ตั่งแต่เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ เพราะหนาวสุดๆ จริงๆ



























3/02/2552

ไปเที่ยวเกาะช้างกันนะ

“ที่รักไปเที่ยวกันเถอะ เราหยุดกันสักวันและไปผักผ่อนกันนะ” ฉันขอร้องสามีสุดที่รักมาตลอดอาทิตย์ “เราเพิ่งไปเสียมเรียบกันเองนะ แล้วจะไปไหนอีก” “ก้อมันเหนื่อยมากเลยนะ เดือนที่ผ่านมามีประชุมทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 4 นัด ปัญหาเยอะแยะ เลยอยากพักผ่อนนะสิ” ฉันพูดเสียงอ๋อยๆ และทำหน้าตาน่าสงสารประกอบ “ปวดหัวมากด้วย” เพิ่มไปอีกนิด และก็ได้ผล สามีสุดที่รักบอกว่า “ก็ได้ เดี๋ยวจะหยุดวันจันทร์ 1 วันเท่านั้นนะ และไปดูแล้วกันว่าอยากไปที่ไหน” ไชโยเสร็จเราแล้ว ฉันคิดในใจ …..
ไปที่ไหนเหรอ …. จริงๆ อยากไปเกาะหลีเป๊ะ แต่ไกลเกินไป ต้องใช้เวลามากกว่า 3 วัน สมุยก็อยากไป แต่ช่วงนี้หน้าฝน เช็คอากาศแล้วไม่ดีไม่ดี ไปทะเลและฝนตก เบื่อตาย และถ้าสมุยไม่ได้ภูเก็ตก็ไม่น่าจะดี อย่างนั้นไปที่ไหนดีหล่ะ …. เดินไปที่บีทูเอส และผลันเหลือบเห็นหนังสือ Trips ไปที่ตราด เกาะช้าง เหมือนเห็นสวรรค์เลย ทรายขาว ทะเลสวย เราเองก็ไม่เคยไปเกาะช้างเหมือนกัน คิดในใจและเช็คห้องฟรีของการบินไทย ไชโยมีโรงแรม Dusit Princess ด้วย โทรจองทันที มีห้องด้วย และเราก็ได้เดินทางมาที่เกาะช้างด้วยกันในอีกอาทิตย์ถัดมา


เกาะช้างถ่ายจากเรือเฟอร์รี่


เรือเฟอรรี่ "ฟรีไม่มีในโลก"

รถพวกเราอยู่ด้านล่างนี้แหละ

ทางไปเกาะช้าง: เราออกจากกรุงเทพประมาณ 7 โมงเช้า ใช้เส้นทางมอร์เตอร์เวย์ และออกไปบ้านบึง ขับไปเรื่อยๆ จากบ้านบึง ต่อไปแกลง และ จันทบุรี พอมาถึงจันทบุรี เห็นป้ายตราด ก็ขับมาเรื่อยๆ จึงถึงตัวเมือง เห็นปั้มปตท พร้อมป้ายยักษ์ใหญ่ “เฟอรรี่ฟรีไม่มีในโลก” เลี้ยวขวาเข้าไปและตรงไปเรื่อยๆ เพื่อไปท่าเรืออ่าวธรรมชาติ (039-597143, 597434, 01-9435872, 039-588318) ออกทุกๆชั่วโมง ตั่งแต่ 07:00 – 19:00 น. ราคาอยู่ที่ 120 บาทต่อคน และ 200 บาทต่อคัน สำหรับรถ 4 ล้อ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาทีก็มาถึงเกาะช้าง (อย่าหลงไปอีกท่านะ เพราะจะใช้เวลาในการเดินเรือนานกว่า) รวมเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯมาที่ท่าเรือ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง (กรุงเทพ – ตราด ประมาณ 358 กิโลเมตร)

ขับรถบนเกาะช้าง: บนเกาะมีถนนยาวเกือบรอบเกาะ มี 2 เลน สวนกันไปกลับ ขาดไปประมาณ 7 – 10 กิโลเท่านั้นก็จะครบทั้งเกาะ เห็นคนท้องที่บอกว่ามีแผนจะทำให้รอบแต่ไม่รู้เมื่อไหร่ เราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ทำ เพราะหากเราต้องการไปอีกด้านของเกาะเราต้องขับรถอ้อมทั้งเกาะเพื่อไปอีกด้าน ถนนบนเกาะมีทางลาดชัน และมีโค้งหักศอกในบางช่วงดังนั้นต้องระวังเป็นอย่างมากในการขับขี่ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ที่อาจมีนักท่องเที่ยวเดินบนถนน หรือมอเตอร์ไซค์ ขับระหว่างทางได้ แนะนำให้เติมน้ำมันให้เต็มจากบนเกาะนะ ควรจอดเติมที่ปั้มปตทที่ตราด เพราะบนเกาะไม่ค่อยเห็นปั๊มและไม่น่าไว้ใจกับน้ำมันบนเกาะเพราะเห็นใส่เป็นขวดๆ

ข้อมูลเกาะช้าง:เกาะช้างเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ จังหวัดตราด ตั้งอยู่ในอ่าวไทย ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ในกลุ่มอีกกว่า 50 กว่าเกาะ มีเนื้อที่ประมาณ 268,125 ไร่ และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ รองจากภูเก็ต หาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว และหาดไก่แบ้ หาดทั้ง 3 นี้มีหน้าหาดที่กว้างสำหรับเล่นน้ำทะเลได้ดี และสะดวกสบายในตอนกลางคืน เพราะสามารถเดิน ออกมาทานอาหาร หรือจับจ่ายซื้อของได้สะดวก แต่สำหรับนักเดินทางที่ต้องการความสงบ อาจจะลองดูอ่าวใบลาน หน้าหาดอาจจะไม่กว้าง และมีหาดหินเป็นระยะๆ แต่เงียบสงบสมใจแน่ๆ ส่วนตัวขอแนะนำอ่าวใบลานเพราะเหมือนกับได้มาพักผ่อนจริงๆ และหาดคลองพร้าวที่หน้าหาดกว้าง และเล่นน้ำได้ทั้งวัน
ในวันที่สองเราตัดสินใจไปเที่ยวเกาะ โดย speed boat ค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 – 1,500 บาทต่อคน ต่อวัน รวมอาหารกลางวัน ข้อดีของ speed boat คือ ความรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือคับแคบ หากมีจำนวนนักท่องเที่ยวเยอะก็จะแออัดไปหน่อย ครั้งหน้าเราตั้งใจจะเลือกเรือไม้ เพราะใหญ่กว่า มีที่นั่งด้านบนและล่างสามารถอาบแดด หรือนั่งเล่นหากไม่ต้องการลงดำน้ำ แนะนำว่าให้เช่าเรือเองหากมากับเพื่อนประมาณ 6 – 10 คน ค่าเช่า speed boat อยู่ที่ 8,000 – 15,000 และ 8,500 สำหรับเรือไม้ (speed boat เช่าได้ที่ http://www.ployscuba.com%20หรือ น.ไก่แบ้ฮัท 081-982-9870, 081-817-6832 สำหรับเรือไม้ให้ไปที่ อิทธิพลทัวร์ ที่บางเบ้า
เกาะที่จะไปในวันนี้มี 4 เกาะ เริ่มจากเกาะยักษ์ ที่เป็นเกาะเล็กๆ แต่มีปะการังและปลาค่อนข้างสมบูรณ์ ต่อมาเป็นเกาะรัง ที่มีชายหาดกว้างและน้ำใส เราหยุดทานอาหารกลางวัน (ข้าวกล่อง) และเล่นน้ำอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง น้ำสวย และใส ปลาไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ได้บรรยากาศดี เกาะต่อไปคือเกาะเหลายา คนเรือบอกเราว่าเป็นเกาะที่สวยที่สุดในภาคตะวันออก เราลอง snorkel ดูเห็นปลาเยอะมาก ทั้งปลาผีเสื้อลายแปดขีด ปลานกแก้ว และปะการังเขากวาง สวยจริงอย่างที่เขาบอก ลองเอาขนมปังไปให้ปลาสิ ปลาแทบทั้งฝูงจะกรูเข้ามาตอมที่เรา จากที่เห็นว่าสวยอาจกลายเป็นกลัวจนวิ่งหนีก็ได้นะ จากนั้นเราตรงไปพักผ่อนที่เกาะหวาย เหมาะกับลงเล่นน้ำ มีรีสอรท์อยู่ไม่กี่ที่ และค่อนข้างเป็นธรรมชาติมากๆ เหมาะสำหรับวัยรุ่น หรือคนที่ต้องการอยู่กับธรรมชาติจริงๆ ข้อแนะนำ การมาเที่ยวเกาะต่างๆ ควรนำครีมกันแดดทั้งหน้าและตัวมาด้วย เพราะแดดแรง หมวก ร่ม และผ้าเช็ดตัวไว้ปูนอนเล่นอย่าลืม ถ้ากลัวเมาเรือให้เตรียมยาดม ผลไม้ดอง และยาแก้เมาไปด้วย


คุณสามีกำลังให้ขนมปังปลาอยู่ค่ะ


สวยมากครับ

เกาะรังที่น้ำใส้ใส

เกาะรัง เห็นแล้วอยากอยู่ที่นี่ไปตลอดเลย

ลงพุงทั้งคู่


ที่พักบนเกาะช้าง: เกาะช้างมีที่พักหลายแบบตั่งแต่บังกะโล Home stay โรงแรมหรู ไปถึง Boutique Hotel นอกจากนั้นยังสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ติดทะเล บนภูเขา หรือในป่า ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเช็คได้จากเว็ป http://www.whitesandsthailand.com/ หรือ http://www.ekohchang.com/ หากต้องการความตื่นเต้น ก็สามารถมาหาที่พักบนเกาะได้ไม่ต้องจอง สำหรับเราขอเลือกเฉพาะโรงแรมที่เน้นติดทะเล และสะดวกสบายมาประมาณ 4-5 โรงแรม ดังต่อไปนี้
1. Dusit Princess Koh Chang เป็นโรงแรมใหม่เพิ่งเปิดเมื่อปี 2551 ระดับ 4 ดาว มีห้องพักทั้งหมด 96 ห้อง เน้นการออกแบบที่สอดคล้องกับธรรมชาติและภูเขาที่อยู่โดยรอบ มีห้องอาหาร The Bay และ Namm Spa ที่แนะนำให้ลองการนวดศรีษะ และเท้า ห้องพักเราเห็นทะเล และมี Jacuzzi ซึ่งเราสามารถนั่งเล่นน้ำและมองทะเลได้ไปพร้อมๆกัน (อ้อลืมบอกว่าหากใช้ห้องพัก ROP ฟรีแล้ว สามารถ upgrade เป็น Beach Front ได้ จ่ายแค่ประมาณ 1,500 บาทต่อคืนเท่านั้น) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-1564-1472, 08-1558-0468 หรือที่เว็ปไซด์ http://www.dusit.com/
2. The Chill ตั้งอยู่บนหาดไก่แบ้ เป็น Boutique Hotel 3 ชั้น มี 14 ห้องที่เรียกว่า The Splash Room ที่สามารถลงเล่นน้ำได้ทุกห้อง และอีก 14 ห้องที่เรียกว่า The Chill Room อยู่ชั้น 2 ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ทุกห้อง และอีก 7 ห้องที่เป็น The Sky Room ที่ชั้น 3 มีอ่าง Jacuzzi ส่วนตัว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-941-5211 – 2 หรือ 039-552-555 หรือที่เว็ป http://www.thechillkohchang.com/
3. AANA Resort & Spa เป็นโรงแรมที่อยู่ทามกลางขุนเขา และแม่น้ำ ไม่ติดทะเล แต่สามารถพายเรือคายักประมาณ 2 นาทีไปที่หาดคลองพร้าวได้ มี 2 สระว่ายน้ำ ติดแม่น้ำกับอยู่บนเขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 039-551-539 หรือที่ http://www.aanaresort.com/
4. Amari Emerald Cove โรงแรมระดับ 4 ดาวที่ได้มาตรฐาน ตั่งอยู่บนหาดคลองพร้าว หน้าหาดสามารถเล่นน้ำได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 039-552-000 หรือ http://www.amari.com/
5. Gajaburi ตั้งอยู่ที่หาดไก่แบ้ ลักษณะเป็นบ้านหลังๆ แต่มีการตกแต่ที่ดูดี และคงความเป็นไทย เราทั้งคู่ชอบที่นี่มาก เพราะอยู่สบายและสะอาดสะอ้าน สอบถามข้อมูได้ที่ 039-557-300 หรือ http://www.gajapuri.com/
6. The Dewa มีดีไซน์ที่โดดเด่นแบบ Industrial Look ผสมกับความเป็นไทย ตัวห้องดีไซน์เก๋ เหมาะกับคู่หนุ่มสาว ด้านหน้ามีหาดที่น่าว่ายน้ำ และด้านในมีสระว่ายน้ำที่สวยงาม ตรงข้ามกับร้านอาหาร “The Restaurant” ที่ดีไซน์โดดเด่น สำหรับห้องแบบ Grand Villa ที่ติดกับหน้าหาดนั้น มี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องรับแขก มี Jacuzzi ส่วนตัว และชั้นบนเป็นห้องนอนที่มองเห็นทะเล น่าเสียดาที่ไม่มีหน้าต่างเปิดรับลมทะเล จึงต้องพึ่งแต่แอร์ให้ความเย็นภายในห้องเท่านั้น ราคาห้องพักเริ่มต้นที่ 5,000 – 17,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-261-6364 หรือ 039-557-339 หรือที่ http://www.thedewakohchang.com/


ห้องพักของเราที่ดุสิตค่ะ

วิวที่เห็น Sea View คุ้มค่าจริงๆ

Namm Spa Dusit Princess

Gajapuri Hotel


Gajaburi Hotel

The Dewa Hotel


The Dewa Hotel
AANA Resort & Spa

AANA Resort & Spa