Doge’s Palace ประกอบด้วยศิลปะ 3 แบบ คือ Classic, Byzantine และ Baroque จุดเด่นคือภาพวาดบนเพดานไม้ทำจากทอง 24K และห้อง Chamber ที่สร้างโดยไม่มีเสาเพราะใช้โครงเรือด้านบนเพดาน ติดกับห้อง Chamber เป็นห้องคุมขังนักโทษ และ Bridge of Sigh ที่นักโทษเดินผ่าน และมีโอกาสเห็นโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนถูกประหารชีวิต ในช่วงที่เรามาสะพานปรับปรุงเลยมีสิ่งก่อสร้างบังสะพานอย่างที่เห็น
อันนี้ไม่ใช่เรือโดยสาร แต่เห็นคุณลุงแต่งตัวน่ารักเลยถ่ายมาให้ดูเล่นๆ
Bridge of Sigh ที่ตอนนี้เหลือแค่นี้ให้เราดู เพราะกำลังปิดปรับปรุง
นักโทษจะมองผ่านช่องหน้าต่างหินเล็กๆ ออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
จาก Doge’s Palace เราต่อกันที่ Basilica ที่มีหลังคาโมเสกใช้หินกับทองประดับ ภายในโบสถ์ เชื่อกันว่ามีศพนักบุญ St.Mark ที่เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเมืองอยู่ ทำให้สัญลักษณ์ของเวนิส เป็นรูปสิงโตมีปีก
เสร็จจาก Basilica เราแวะไปดูวิธีการทำแก้ว Murano อันขึ้นชื่อของเวนิสที่ Vecchia Murano ที่มีชื่อเสียงของเมือง ราคาของแก้วค่อนข้างสูงเพราะเป็นงานฝีมือ เราเดินๆดู ก็เห็นว่าบางอย่างบ้านเราก็พอมีบ้างเลยไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือมา
ช่วงบ่ายเราจอย optional tour ของ Globus ไปที่ Burano ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเพราะเรือวิ่งได้แค่ 7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นเกาะที่มีสีสันมากๆ บนเกาะไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่เหมาะกับการไปถ่ายรูป และเดินเล่นเย็นใจ
เย็นนั้นคุณสามีขอทดสอบความยากของถนนหนทาง โดยขอหาร้านไอศกรีม Alaska ที่หนังสือแนะนำให้เจอ ใช้เวลาเดินสักพัก หมุนไปหมุนมา เกือบล้มเลิก แต่ก็ฟลุ๊คเจอจนได้ ว่ากันนักหนาว่าอร่อย ขอชิมสักนิดตามรูป well… ผิดหวังค่ะ รสชาติเป็นส่วนผสมของวัสดุธรรมชาติมากๆ พวกเราลิ้นคางคกชอบแบบปรุงแต่ง ดังนั้น Gelato แบบข้างถนนอร่อยกว่า กร่อยเล็กน้อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น