About Me

รูปภาพของฉัน
Bangkok, Thailand
นักเดินทางอิสระ

3/03/2552

มหัศจรรย์ธรรมชาติ ตุรกี

ตุรกี ประเทศสองสัญชาติ 3% ของประเทศอยู่ติดกับยุโรป โดยมีเมืองหลวงอิสตัลบูลเป็นจุดกึ่งกลางแบ่งระหว่างยุโรป และเอเชีย ที่เรียกว่า “อนาโตเลีย” กินพื้นที่กว่า 97% ของประเทศ ตุรกีเป็นประเทศมุสลิม ประชากรกว่า 71% ของประเทศนับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี ปัจจุบันมีข่าวคราวการรบกันระหว่างชายแดนของตุรกีและประเทศแถบตะวันออกกลางอยู่บ่อยๆ แล้วทำไม่เราถึงเลือกไปตุรกีหล่ะ
ทำไม่ถึงไปตุรกี? เพราะเป็นประเทศในฝันของฉันมาตั่งแต่ตอนยังเป็นสาวๆนะสิ ฝันจะไปกับเพื่อนคนนึงซึ่งฝันมานานและยังไม่เคยได้ไปสักที จนเพื่อนมีลูกโตไปแล้ว ฝันว่าสักวันจะได้ไปเห็นปุยเมฆสีขาวที่เราลงไปเล่นน้ำได้ ซึ่งก็ยังไม่เคยรู้ว่าเค้าเรียกกันว่า “ปามุคคเล่” จนวันนี้ที่ทางสายการบิน Turkish Airline ได้โปรโมตประเทศอย่างเป็นทางการ ฉันจึงเลือกกับสามีให้เป็นประเทศที่เราไป Honeymoon กันช่วงปีใหม่ปี 2008
เราเดินทางโดยสายการบิน Turkish Airline ตอนกลางคืน และถึงที่อิสตันบูลตอนเช้าอีกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 – 10 ชั่วโมง สนามบินอิสตันบูลขาเข้า ค่อนข้างเก่า ไม่สะอาดและไม่ทันสมัยเท่าบ้านเรา พวกเรามีเวลาพักกันนิดหน่อยและจึงไปต่อเครื่องภายในประเทศเพื่อไปที่เมืองอิสเมียร์ และนั่งรถต่อไปที่เซลจูค เพื่อดู House of Mary ที่เชื่อกันว่าเป็นบ้านที่พระแม่มารีหนีมาพักอาศัยและสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้


House of Mary

Holy Water

Wishing Wall

ร้านขายถั่วทุกชนิดทุกแบบ

จากนั้นเราเดินทางด้วยรถโค้ชไปที่ “เอฟฟิซุส” เมืองโบราณที่มีการค้นพบ และบำรุงรักษาได้เป็นอย่างดี เชื่อกันว่าเป็นเมืองที่ชาวกรีกโบราณอพยพเข้ามาเพื่อสร้างเมือง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาได้ถูกยึดครองโดยชาวโรมัน ซึ่งในช่วงที่โรมันปกครองนั้น ได้มีการสร้างสิ่งก่อสร้างที่น่ามหัศจรรย์ไว้มากมาย เช่น ถนนหินอ่อนผ่านใจกลางเมือง ห้องน้ำชาวโรมัน โรงละครกลางแจ้งที่จุคนได้มากกว่า 30,000 คน และห้องสมุดโบราณที่ยังคงหลงเหลือด้านหน้าให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป

ถนนหินอ่อนผ่านกลางเมือง มีแมวน้อยแอบอากาศหนาว


ด้านหน้าของห้องสมุดโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่



โรงละครที่จุคนได้มากกว่า 30,000 คน ปัจจุบันยังใช้เล่นคอนเสริต์บ้าง

วันต่อมาเราได้เดินทางไป “ปามุคคาเล่” สถานที่ในฝันของฉัน ช่วงที่เราเดินทางไปเป็นเดือนธันวาคม อากาศหนาวและยิ่งบวกกับลมทำให้ยิ่งหนาวเดินไม่ค่อยสนุก และปามุคคาเล่ก็ไม่สวยอย่างที่ฝันไว้ น้ำไม่ค่อยมี และปุยเมฆสีขาว ซึ่งแท้จริงคือเกลือแร่นั้นไม่ขาวอย่างที่คิด ออกจะกระดำกระด่างหน่อยๆ โชคดีที่ยังมีบางจุดที่เราถ่ายรูปได้บ้าง คุณสามีได้ลองเอาเท้าแช่น้ำพุร้อนซึ่งก็กำลังอุ่นๆพอดี “ปามุคคาเล่” เกิดได้อย่างไร … อันที่จริงปามุคคาเล่เป็นผลจากการไหลของน้ำพุเกลือแร่ และการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาวราวปุยเมฆ ไหลลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ ชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อนดังกล่าวสามารถรักษาโรคได้ ทำให้เขตนี้มีแหล่งน้ำพุร้อนตามที่พัก ซึ่งที่พักของเราคือ Richmond Hotel ก็เป็นอีกโรงแรมที่มีบริการสระว่ายน้ำธรรมชาติ และคุณสามีก็ได้ลองอีกครั้ง ทั้งตัวเลยคราวนี้ ขาดก็แต่น้องผู้หญิงหน้าตาน่ารักมานั่งอาบน้ำให้เท่านั้น ….

ปามุคคาเล่

น้ำพุร้อน




จากนั้นเราได้เดินทางไปต่อที่ Underground Shelter มัคคุเทศก์ท้องถิ่นบอกเราว่า ไม่ควรเรียกว่า Underground City เพราะไม่ได้เป็นเมือง แต่จริงๆแล้วเป็นที่หลบภัยจากการรุกรานของข้าศึก จึงควรเรียกว่า Shelter พวกเราเดินกันลงไปประมาณ 20 นาที ไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณจะสามารถขุดได้ลึกขนาดนี้ บางช่วงเราต้องคลานกันเข้าไป จึงต้องระวังสำหรับผู้สูงอายุ อากาศด้านล่างไม่มากเท่าไหร่ อาจอึดอัดแต่ไม่มากนัก หากกลัวฝุ่นหรือความชื่อควรมีผ้าปิดปากเข้าไปด้วย อุณหภูมิด้านในคงที่ประมาณ 18 องศา ไม่หนาวเหมือนด้านนอก

วันรุ่งขึ้นเราได้เดินทางต่อไปที่เมืองคอนย่า เพื่อผ่านไปที่ “คัปปาโดเกีย” เมืองแห่งเขากรวยหิน ที่องค์การยูเนสโกเก็บให้เป็นเมืองมรดกโลก เขากรวยหินนั้นเกิดจากลาวาภูเขาไฟที่ไหลมาปกคลุมพื้นที่ และเมื่อผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ธรรมชาติก็สร้างให้เกิดเป็นเขากรวยหินที่กลายเป็นแหล่งที่พักของคนโบราณ หรือโบราณสถานไปได้ ฉันกับสามีต้องยอมรับจริงๆว่าสวยและแปลกเหลือเกิน ถูกใจกว่าปามุคคเล่ที่คาดหวังมาซะอีก หากมีโอกาสจะขอเข้าไปพักที่โรงแรมเขากรวยหินนี้สักครั้ง แต่ต้องมาในช่วงหน้าร้อนหน่อยนะ หนาวอย่างนี้คาดว่าจะแข็งตายไปได้





จากนั้นพวกเราเดินทางสู่เมืองเกอเรเม (GOREME) เพื่อชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งซึ่งเป็นศูนย์กลางของ ศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 สร้างขึ้นเพื่อต้องการเผยแพร่ศาสนา เราขอบอกว่าหนาวมาก ไม่ได้มีสมาธิในการดูและฟังคำอธิบายของไกด์เท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีรูปสวยๆมาฝากกันบ้าง


ที่อิสตัลบูลเราไปชม พระราชวังทอปกาปึ (TOPKAPI PALACE) ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ประทับของสุลต่าน แห่งราชวงศ์ออตโตมัน พร้อมทั้งเข้าชมฮาเร็มเขตหวงห้าม ซึ่งในอดีตกาลใช้เป็นที่อยู่ของนางในปัจจุบันพระราชวังทอปกาปึกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ใช้เก็บมหาสมบัติอันล้ำค่าอาทิ เช่น เพชร 96 กะรัต กริชทองประดับมรกต เครื่องลายครามจากจีน หยก มรกต ทับทิม และเครื่องทรงของสุลต่านฯลฯ บ่าย เราเข้าดู ชมสุหร่าสีน้ำเงิน (BLUE MOSQUE) โบสถ์เซนต์โซเฟีย (ST. SOPHIA) ซึ่งเป็นศิลปะแบบไบเซนไทม์ จากนั้นนำเราได้เข้าไปดูพระราชวังโดลมาบาชเช่ (DOLMABAHCE PALACE) ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญอย่างสูงสุดทั้งทางวัฒนธรรมและทางวัตถุของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้แผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง มีศักยภาพทางการทหารทั้งทัพบกและทัพเรืออันเป็นที่ครั่นครามไปทั่วทุกทวีป ตั้งแต่ตอนเหนือของทวีปอัฟริกา ตอนใต้ของอิตาลี และทางด้านยุโรปตะวันออกจรดกรุงเวียนนา พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยสุลต่านอับดุล เมอซิท ในปี ค.ศ. 1843 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 12 ปี เพราะความที่สุลต่านทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ยุโรปอย่างสุดขอบ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ตลอดจนการทหาร ล้วนคัดลอกมาจากตะวันตกทั้งสิ้นรวมทั้งพระราชวังแห่งนี้ ซึ่งออกแบบ โดยสถาปนิกคู่ใจชาวอาเมเนี่ยน ชื่อ บัลยัน เป็นศิลปะผสมผสานของยุโรปและ ตะวันออกที่ได้รับการ ตกแต่งอย่างสวยงามและไม่คำนึงถึงความสิ้นเปลืองใดๆทั้งสิ้น ภายนอกประกอบด้วยสวนไม้ดอกราย ล้อมพระราชวังซึ่งอยู่เหนืออ่าวแล็กๆที่ช่องแคบบอสฟอรัส ภายในประกอบด้วยห้องหับต่างๆและฮาเร็ม ตกแต่งด้วยโคมระย้า บันไดลูกกรง แก้วเจียรไน และโคมไฟมหึมาหนัก 4.5 ตัน นาฬิกาทุกเรือน ของที่นี่จะชี้เวลา 09.05 น. เป็นนิจนิรันดร์เพื่อระลึกถึงเวลาของการจากไปเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 ของ คามาล อาตาเติร์ก (KAMAL ATATURK) วีรบุรุษของชาติผู้บดขยี้กองทัพอังกฤษที่กาลิโปลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1

ก่อนกลับเราได้ไปที่ Spice Market แนะนำว่าให้เดินดูให้รอบๆก่อนอย่าเพิ่งตัดสินใจ ควรหาร้านที่คนท้องถิ่นเข้าไปซื้อกันเยอะๆ เพราะคุณภาพดีกว่า อาจพูดจาสื่อสารไม่เก่งหรือไม่คอยสนใจเราเท่าไหร่ แต่ขอให้อดทดไว้ เพราะคุณจะได้ของที่ดี และมีคุณภาพกว่าร้านที่ไกด์คนไทยแนะนำแน่ๆ นอกจากนี้แล้วไม่ควรซื้อ Turkish Delight ในวันแรกๆที่รถทัวร์หยุดใด้ช้อป เพราะคุณภาพไม่ดีเท่าที่ Spice Market นอกจากถั่วพิถาชิโอแล้ว ควรลอง Hazelnut และถ้าจะซื้อ Turkish Delight ให้ขอชิมก่อนทุดครั้ง

ท้ายสุดนี้สิ่งที่เราประทับใจที่สุดในตุรกี คือ มหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ก่อให้เกิด “ปามุคคาเล่” และ “คัปปาโดเกีย” เป็นสิ่งก่อสร้างทางธรรมชาติที่แปลกและทำให้ตุรกีแตกต่างจากประเทศต่างๆเหลือเกิน
วันสุดท้ายหนาว -7 หิมะตกเลยหล่ะ

Blue Mosque
ข้อควรระวัง: เนื่องจากเป็นทริปที่เดินเยอะ จึงขอแนะนำให้ใส่รองเท้าสบายๆ และที่สำคัญอย่าไปหน้าหนาว ตั่งแต่เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ เพราะหนาวสุดๆ จริงๆ



























1 ความคิดเห็น: