About Me

รูปภาพของฉัน
Bangkok, Thailand
นักเดินทางอิสระ

8/30/2552

Day 7: วาติกัน ปิซ่า

วันนี้ต้องตื่นเช้ามาก เพราะ Vatican Museum เป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวไปกันล้นหลามทุกวัน ขนาดพวกเราจองตั๋วก่อนแล้ว ยังต้องมาต่อแถวด้านหน้าเพื่อเข้าอีก 15 นาที พอแปดโมงตรงที่ประตูเปิด แถวก็ยาวไปถึงสุดถนนแล้ว ลืมบอกกว่ากลุ่มมิชฉาชีพเยอะมากแถวหน้าวาติกัน ดังนั้นควรระวังกระเป๋าเป็นอย่างดี Stefano เล่าให้ฟังว่า ในแต่ละวันนั้น จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาที่วาติกันประมาณ 18,000 คน และบางวันสูงถึง 24,000 คน

พอผ่านประตูเข้ามาเราเดินผ่านห้องอียิปต์ แต่ไม่ได้หยุดเพราะหากเดินทุกจุดของวาติกัน ต้องใช้เวลากว่า 3 วัน พวกเรามีแค่ 3 ชั่วโมงจึงดูเฉพาะจุดสำคัญๆเท่านั้น เริ่มด้วยทางเดิน corridor ที่ Pope ใช้เดิน ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม จนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปโดยปริยาย แต่ละช่วงของ corridor จะมีรูปภาพบนเพดานและผนัง ซึ่งบางภาพมีการใช้เทคนิค 3D หรือ Optical Illusion ทำให้เห็นแสงสี เงา และความลึกอย่างไม่น่าเชื่อ บางรูปนึกว่าเป็นรูปปั้นออกมาจากกำแพง แต่จริงๆเป็นภาพวาด Amazing Italy อีกแล้ว นอกจากรูปภาพ ด้านข้างทางเดินจะเต็มไปด้วยรูปปั้น โดยส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นเปลือย ทำไปทำมา Pope บอกน่าเกลียด เลยเอาใบ fig มาปิด ถ้าปิดไม่ได้ก็ตัดออก (น่าเสียดายจริงๆ)







หลังจาก corridor ก็มาถึง Tapestry Room ที่ลูกศิษย์ของ Raphael เป็นคนร่าง และส่งไปที่เบลเยียม ให้ผลิตเป็นพรมขึ้นมา แต่ไม่ได้มาใช้เป็นพรมนะ เค้าเอามาแขวนข้างๆผนัง เพื่อความสวยงาม และความอบอุ่น เรื่องราวบนพรมก็จะเป็นเรื่องราวทางศาสนา งานละเอียดมาก Stefano เล่าให้ฟังว่าตอนนั่งผลิตพรมนี้นั้น ช่างต้องตรวจสอบความถูกต้องจากกระจกที่ส่องสะท้อนภาพเพื่อให้เกิดความถูกต้องทุกครั้ง
จากห้อง Tapestry เราไปต่อที่ Sistine Chapel ที่มีรูปภาพ Fresco อันเลื่องชื่อ The Last Judgment บนเพดาน จากฝีมือของ Michealangelo (มิเคเอลลันเจโล) Stefano เล่าให้เราฟังว่าช่วงแรกๆ ของการวาดนั้น พี่ไมค์ต้องมีครูมาสอนวาดภาพ Fresco แต่พอเก่งก็ไล่ออกหมด และทำการวาดเพียงคนเดียว ใช้เวลาประมาณ 8 ปี จึงแล้วเสร็จ อ้อลืมเล่าว่าทำไมต้องมีคุณครูมาช่วยสอน ก็เพราะพี่ไมค์ของเราเค้ามองว่าตัวเองเป็นนักประติมากรรม นักปั้น นักแกะสลักมากกว่า นักวาด แต่แหมคนมัน genius วาดแป็ปเดียวก็เก่ง เลยขอวาดเองทั้งหมด ภาพ Fresco บนเพดานวาดตอนอายุ 30 กว่าๆ เป็นเรื่องราวทางศาสนา New & Old Testament

เดินจาก Sistine Chapel เราไปต่อที่ Saint Peter’s Basilica เพื่อไปดูหินอ่อนที่ยับที่สุดในโลก ฝีมือของพี่ไมค์อีกแล้ว Pieta ตั้งอยู่ด้านขวาของโบสถ์ เป็นรูปแกะสลักพระแม่มารีอุ้มพระศพของพระเยซูอยู่บนตัก ขอบอกตามตรงว่าไม่ค่อยได้เห็นอะไรรายละเอียดอะไรมากนัก เพราะมีกระจกแก้วกั้นอยู่ สำหรับป้องกันเพราะเคยมีคนบ้าเข้ามาทำลายพระรูป จากนั้นเราเดินไปรอบๆ โบสถ์ซึ่งมีสถาปัตยกรรมต่างๆมากมาย อาทิเช่น Canopy กลางโบสถ์ หลังคาใต้โบสถ์ งานโมเสกต่างๆหลายแบบ รวมถึงรูป Transfiguration นอกจากศิลปะภายในแล้ว ด้านนอกของ Saint Peter’s Basilica ก็เป็นอีกจุดที่โด่งดัง และเป็นที่รวมตัวของนักท่องเที่ยว เพื่อถ่ายรูปกับเสาโอเบลิสก์ สูง 27 เมตร หนัก 300 ตัน ที่นำมาจากอียิปต์ และดูความมหัศจรรย์กับเสาหินนับร้อยต้นที่รายล้อมโบสถ์ ซึ่งหากยืนที่จุดน้ำพุของแต่ละด้านจะเห็นเสาเรียงเป็นต้นเดียวกัน อันนี้เป็นฝีมือของแบร์นินี่ค่ะ ท้ายสุดพวกเราหยุดตรงที่ทำการไปรษณีย์ เพื่อส่งโปสการ์ดถึงตัวเองที่เมืองไทย รอรับตอนกลับมาเป็นของฝากน่ารักๆ อีกอย่างหนึ่ง (ค่าเข้า Saint Peter’s Basilica ไม่มีนะค่ะ แต่ปิดวันอาทิตย์ค่ะ ส่วน Vatican Museum ค่าเข้าชม 14 ยูโร ปิดวันอาทิตย์เหมือนกัน ควรจองก่อน หรือมาเช้าๆเพื่อไม่ต้องต่อแถวนาน)














ถึงเวลาออกเดินทางต่อไปที่ Pisa เพื่อดูหอเอนปิซ่ากันแล้ว รถบัสของ Globus นั้นใหญ่กว้างขวางดีมาก บนรถมีกฎว่า ต้องมีการเวียนที่นั่งด้านหน้าทุกวัน ไม่เป็นที่เฉพาะของใคร ซึ่งก็ยุติธรรมดีเราว่า นั่งมาสักพักก็มาถึง Pisa ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น แวะจุดจอดรถทัวร์และนักรถรางไปต่ออีกนิดก็ถึง สิ่งแรกที่เห็นคือคนขายของเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นคนจีน เกาหลี คาเมรูน ต้องระวังนิดหน่อย Elio แนะนำว่าหากต้องการซื้อของควรซื้อจากร้านที่อยู่ด้านในเพราะถูกกฏหมาย อาจแพงกว่านิดหน่อยแต่ก็เป็นการช่วยคนที่ทำถูกกฎหมาย โชคดีวันนี้อากาศดี ได้รูปสวยๆมาฝากกัน

Pisa เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฟลอเรนซ์ เป็นแหล่งการค้าทางน้ำที่สำคัญในอดีต เคยถึงขั้นเป็นคู่แข่งกับเวนิสมาแล้วด้วยนะ แต่ภายหลังเกิดการสะสมของตะกอนทำให้กลายเป็นสันดอนจึงลดบทบาทลง จนมาในปี ค.ศ.1173 มีการสร้างหอระฆังคัมปานิเล สูง 165 ฟุต ต่อมากลายเป็นหอเอียง เพราะหินอ่อนตั้งซ้อนบนดินทรายที่น้ำพัด ทำให้เอียงเป็นมุม 4.5 เมตร กลายเป็นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก










จาก Pisa เราต่อกันไปที่ Florence (ฟลอเรนซ์) เข้าพักที่ Hilton Metropole และทานอาหารค่ำกันที่ห้องอาหารของโรงแรม Hilton Metropole เป็นโรงแรมใหม่ สะอาด สิ่งอำนวจความสะดวกครบ แต่อยู่ไกลตัวเมืองหน่อยเท่านั้น โชคดีที่มี Shuttle Bus ให้เลยสะดวกสำหรับคนที่ยังไม่เหนื่อยและต้องการแวะไปที่ในเมือง สำหรับพวกเราขอพักก่อนดีกว่า ตั่งแต่มาที่นี่นอนเร็วตื่นเช้า สมองโล่งๆๆๆๆๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น